กำเนิดของโควิดเกี่ยวพันกับการศึกษาวิจัยในห้องแลป
เนื้อหาทั้งหมด มาจากเอกสาร ทางการที่เผยแพร่อย่างเปิดเผย
Covid “most likely” เกิดจาก การวิจัย ที่เกี่ยวข้องกับไวรัส research related activities มากกว่า ที่จะเกิดจาก ธรรมชาติ (จาก senate วุฒิสภา สหรัฐ)
1-จุดแรกที่เกิด ในคน อยู่ใกล้ Wuhan institute of Virology ตั้งแต่ ตุลาคม 2019
2-Covid ยังไม่พบintermediate host หรือ สัตว์ตัวกลาง ใดๆ
สำหรับค้างคาวมงกุฏิ พบไวรัสใกล้ covid แต่ไม่ใช่ covid และไม่เข้าคน
ปกติแล้ว ไวรัสจากค้างคาว ต้องผ่านสัตว์ตัวกลางเพื่อเพาะบ่มวิวัฒนาการระยะหนึ่งจึงจะมีความสามารถเข้ามนุษย์ได้
แต่ค้างคาวในพื้นที่ต่างๆ ที่ผ่านการสำรวจใน Yunnan ลาว มีแต่คล้ายcovid และ ถ้ามีการผ่านตัวกลางจริงที่กลายเป็นโควิดบริเวณพื้นที่กว้างขวางเหล่านี้ น่าจะมีคนที่ติดโควิดตั้งแต่ต้นในพื้นที่ต่างๆ และระยะเวลาต่างๆ
เช่น ตัวอย่างที่เห็น ใน ไข้หวัดนก avian flu H7N9 ในจีน ที่มีการกระจายทั่วไปในนกทั่วพื้นที่ก่อน จนมีการกระจายเข้าคน ในพื้นที่ต่างๆ ณ เวลาต่างๆ
หรือ MERS ก็ตาม หรือ SARS เบื้องต้น มีการเกิดการกระจายอย่างเป็นอิสระเข้าในมนุษย์ อย่างน้อย 5 เหตุการณ์ (at least 5 independent of SARS virus into humans) โดยในแต่ละครั้งที่เกิด อยู่ในพื้นที่ ที่ห่างกันเป็น 10 เป็น 100 กิโลเมตร ในปี 2002-3 และมี ตัวกลาง civet cats ที่มีกระจายอยู่ในพื้นที่ก่อน
และไวรัส SARS มีหลายstrains ตั้งแต่ต้น ซึ่งแสดงว่ามีการวิวัฒนาการผ่านมาก่อนหน้านี้หลายครั้งในสัตว์ต้นตอจนกระทั่งถึงผ่านตัวกลาง
ใน Covid เป็นการเกิด ในเวลาเดียว ที่เดียว single time single place พื้นที่เล็กๆ ตั้งแต่ต้น และหลักฐานของไวรัสไม่เป็น เช่น SARS ก่อนหน้า โดยไม่มี multiple spillover โควิดที่เกิดที่ Wuhan เป็นตัวที่มี ความสมบูรณ์เต็มที่ในการแพร่จากคนสู่คน (well-adapted for human-to-human transmission)
โควิด ตัวตั้งตัน มี ความหลากหลายของรหัสพันธุกรรม (genetic diversity) น้อยมาก
2 นิวคลีโอไทด์ จาก 29,900
และรหัสพันธุกรรมของไวรัสที่เก็บตัวอย่างจากพื้นในตลาด Wuhan ก็ไม่ต่างกันกับที่พบในคนที่ติดเชื้อ (genetic similarity between the environmental samples and human viral examples) แสดงว่าเป็นโควิดที่แพร่จากคนตั้งแต่ต้น และที่พบในจุดที่เกิดแต่แรกใกล้ สถาบัน Wuhan institute of virology ไม่ใช่ที่ตลาด
สถาบัน มีความตั้งใจที่จะทำการศึกษาโคโรนาไวรัสที่เกี่ยวโยงกับ
SARS ว่าจะมีความสามารถที่จะใช้ตัวรับในมนุษย์ ACE2 receptor เพื่อเข้าคนได้หรือไม่โดยร่วมกับองค์กร EcoHealth Alliance ของสหรัฐ ในปี 2018 โดยในโครงการมีจุดประสงค์ที่หาไวรัสที่คล้าย SARS และมี furin cleavage site ตามธรรมชาติ
แต่ในการเก็บรวบรวมตัวอย่างนั้นไม่มีไวรัสที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ ทำให้นำไปสู่ ความตั้งใจที่จะทำ การทดลองให้ไวรัสมีความสามารถเพิ่มขึ้นในการติดเข้ามนุษย์ (genetic recombination experiments)
ทั้งนี้ตั้งแต่ปี 2015 มหาวิทยาลัย Huazhong Agricultural University ที่ Wuhan ได้ทำการใส่ furin cleavage site ที่สังเคราะห์ขึ้น เข้าไปในไวรัสในกลุ่มอัลฟ่าโคโรนาไวรัส คือ porcine epidemic diarrhea virus
และในปี 2019 นักวิจัยในประเทศจีนทำการใส่ furin cleavage site กรดอมิโน 4 ตัว เข้าใน Infectious Bronchitis coronavirus ที่ก่อโรคในเป็ดไก่
การศึกษาวิจัยเหล่านี้เพื่อที่จะประเมินว่าไวรัสโคโรนาที่คล้ายSARS จะมีความสามารถเข้ามนุษย์ได้เพียงใด
ในการให้สัมภาษณ์วารสาร Science Shi Zhengli นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำที่สถาบันไวรัสอู่ฮั่นและเชี่ยวชาญในไวรัสโคโรนาที่เกี่ยวกับ SARS ได้ให้สัมภาษณ์ถึงความสำเร็จที่ใช้ไวรัสที่ตบแต่งพันธุกรรม chimeric SARS-related corona viruses ในการติดเชื้อและก่อโรครุนแรงแก่หนูและ ตัว civets ที่ปรับแต่งให้มี ACE2receptor ของ มนุษย์
ในรายงาน ของวุฒิสภา ยังได้ระบุถึงระบบการรักษาความปลอดภัย Biosafety and Biosecurity ที่ สถาบันอู่ฮั่น ใน ช่วงเวลาต่างๆตั้งแต่ 2018 จนกระทั่งในปี 2019
โดยมีเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความบกพร่องในระบบการรักษาความปลอดภัยในห้องปฏิบัติการและมีการประกาศอย่างเข้มงวดจากรัฐบาลจีน ในข้อปฏิบัติที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด ตามมาตรฐาน
แต่ทั้งนี้ยังทำตามเงื่อนไขให้เกิดความสมบูรณ์และปลอดภัยอย่างเคร่งครัดไม่ได้นัก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นของระบบชีวนิรภัยที่สถาบัน ที่เกี่ยวข้องกับการทดลอง ไวรัสตระกูล covid และเป็นระบบเกี่ยวข้องกับการควบคุมอากาศ ในห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับสี่
ในวันที่ 24 เมษายน 2019
วันที่ 14 สิงหาคม
วันที่ 16 กันยายน
วันที่ 19 พฤศจิกายน
วันที่ 11 ธันวาคม ทั้งหมดในปี 2019
และวันที่ 13 พฤศจิกายนในปี 2020
ในระหว่างเวลาสองถึง 03:00 น. ของวันที่ 12 เดือนกันยายนปี 2019 ทางสถาบันได้ปิดระบบ ออนไลน์ข้อมูลรหัสพันธุกรรมของไวรัส ที่เรียกว่า wildfire-borne viral pathogen database และมีการเปิดใหม่เป็นระยะจากเดือนธันวาคม 2019 ถึงเดือนกุมภาพันธ์ 2020 หลังจากที่มีการปิดถาวรในเดือนธันวาคม 2020
ข้อมูลทั้งหลายเหล่านี้ โดยปกติจะเปิดให้แก่สาธารณะชนโดยมีพาสเวิร์ดที่ชัดเจน แต่จะมีข้อมูลปกปิดซึ่งเข้าได้เฉพาะเจ้าหน้าที่ของสถาบันโดยจะมีคลังข้อมูลของรหัสพันธุกรรมที่ไม่เปิดเผยของไวรัส
ทั้งนี้สถาบันได้รวบรวมตัวอย่างจากค้างคาวเป็นจำนวนมากกว่า 15,000 ตัวอย่าง โดยที่ตัวอย่างเหล่านี้ ทำให้มีการค้นพบไวรัสในค้างคาวมากกว่า 1400 ตัว
และมีรหัสพันธุกรรมของไวรัสโคโรนาที่ใกล้เคียงกับSARS อยู่ประมาณ 100 ตัวอย่าง
ในวันที่ 19 พฤศจิกายน 2019 ผู้นำจากปักกิ่งได้มีข้อความสื่อสารถึงสถาบันในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับงาน รักษาความปลอดภัย “ complex and grave situation facing biosecurity work” รวมทั้ง รองผู้อำนวยการสถาบันในด้านความปลอดภัย ได้แจัง และชี้ให้เห็นถึงผลกระทบร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นจากอันตรายเหล่านี้และต้องมีการรักษามาตรฐานความปลอดภัยเพื่อป้องกันความเสี่ยงเหล่านี้อย่างเข้มงวด
(ข้อมูลเพิ่มเติม)
อย่างไรก็ตามสถาบันแห่งชาติสหรัฐ NIAID ได้ให้ทุนเป็นจำนวนหลายพันล้านเหรียญ ในปี 2020 แก่ EcoHealth alliance ในการเก็บรวบรวมตัวอย่างจากค้างคาวและสัตว์ป่าทั่วโลก เพื่อหาไวรัสและศึกษาความสามารถในการเข้ามนุษย์และรวมถึงการสร้าง สร้างไวรัสที่มีการปรับแต่งพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์ได้ดีขึ้น
ทั้งจากไวรัสโควิด ไวรัสนี้ป้าและตัวอื่นๆ โดยยังคงมีความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นกับสถาบันไวรัสที่อู่ฮั่นตามเดิม
ข้อสรุป จากวุฒิสภาของสหรัฐคล้ายคลึง Lancet commission ที่ตีพิมพ์ เปิดเผยทั่วไป ก่อนหน้านี้ ในวันที่ 14 กันยายน 2022 ที่น่าจะมีต้นตอจาก หรือเกี่ยวข้องกับการศึกษาทดลองวิจัยในห้องปฏิบัติการ และโควิดอาจเป็นผลจากการศึกษาวิจัยร่วมของสหรัฐและ สถาบันไวรัส อู่ฮั่น ทั้งนี้ ต้องการ การ ตรวจสอบที่โปร่งใสและความร่วมมืออย่างชัดเจนไม่เช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำซ้อนอย่างที่เกิดทั่วโลกของโควิดมาเป็นเวลาสามปีแล้ว
An analysis of the origin of SARS-CoV2. US Senate. October 2022
Based on the analysis of the publicly available information, it appears reasonable to conclude that the COVID-19 pandemic was, more likely than not, the result of a research-related incident. New information, made publicly available and independently verifiable, could change this assessment. However, the hypothesis of a natural zoonotic origin no longer deserves the benefit of the doubt, or the presumption of accuracy.
https://www.help.senate.gov/imo/media/doc/report_an_analysis_of_the_origins_of_covid-19_102722.pdf
………………………………………
ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทย์ศาสตร์จุฬา
ถอนตัวออกจากทุกโครงการที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจสัตว์ป่ารวมทั้งค้างคาว และในโครงการตามที่เป็นข่าว ที่มีการสร้างไวรัสใหม่ chimeric virus ทั้ง corona covid และ Nipah virus.
ศูนย์ ไม่คิดว่าการสำรวจสัตว์จะได้ประโยชน์ ทั้งนี้เนื่องจากการที่พบไวรัสที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนและจะทำการศึกษาว่าจะสามารถเข้ามนุษย์หรือสัตว์อื่นได้นั้นและจะเกิดโรคจะต้องมีการปรับแต่งพันธุกรรม
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคืออันตรายที่เกิดจากการปรับแต่ง ให้มี gain of function ซึ่งเป็นที่กังวลกันทั่วไป ดังสื่อมวลชนและองค์กรต่างๆตั้งคำถามข้างต้น
อีกประเด็นที่สำคัญกว่าคือ เรามีโรคติดเชื้อที่หาสาเหตุไม่ได้ในมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น สมองอักเสบที่ทำการติดตามร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่ปี 2002-2008 จะพบเชื้อได้เพียง 10%
และ ในระยะต่อมา 2009 จนกระทั่งถึง 2018 จะพบเชื้อได้เพียง 18%
นั่นหมายความว่าไวรัสที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนอยู่ในมนุษย์แล้ว เพียงแต่หาไม่เจอและรอเวลาที่จะปะทุออกมา และมีการวิวัฒนาการจนมีความร้ายแรงสูงขึ้นและเกิดการระบาดกว้างขวางมากขึ้น
ประการสุดท้าย การเข้าไปสำรวจสัตว์ป่าอาจจะเป็นการนำไวรัสของมนุษย์กลับเข้าไปในสัตว์ reverse zoonosis จนเกิดควบรวมเป็นไวรัสตัวใหม่และกลับเข้ามนุษย์อีก ซึ่งขณะนี้โอไมครอนอาจจะเกิดจากลักษณะนี้ในหนูและกลับเข้าคน
และการที่เข้าไปสำรวจจับสัตว์ป่ามาหาไวรัสนั้นมีโอกาสที่จะนำเชื้อออกจากป่าธรรมชาติและนำมาแพร่กระจายในมนุษย์อีกต่อ
ปัจจุบันโควิดเข้าไปอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม หลายชนิดด้วยกัน ซึ่งการที่จะเข้าไปตั้งตัวอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแต่ละสปีชี่ ไวรัสต้องปรับเปลี่ยนสถานภาพเพื่อให้อยู่ได้และเมื่อหลุดออกมาจากสัตว์กลับเข้าคน จะได้ตัวใหม่ขึ้น
หลักฐานเกี่ยวกับ การ ที่โควิดไม่ควรมาจากธรรมชาติมีการศึกษาและตีพิมพ์ใน peer review J ชั้นนำ มากมาย
ล่าสุด ในสรุป ของ Lancet commission ตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างรุนแรงและแถลงว่า NIH ไม่ร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูลรวมกระทั่งเรื่องที่เกี่ยวพันกับwuhan institute of virology
Lancet commission
https://www.thelancet.com/journals/lancet/article/PIIS0140-6736(22)01585-9/fulltext
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0QQ6HGwS8braRe1JoAb3MN4hg3eodPbw6YsNaE86GxKfn27Ba93Mk7SfFJazhmQNkl&id=100064749694453