Off-Page Factors SEO ปรับแต่งเว็บจากภายนอก
หากเรามีความเข้าใจในรูปแบบการจัดอันดับของ Search Engine คนไทยส่วนใหญ่ใช้ Google ในการค้นหาข้อมูล และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาศึกษา Off-Page Factors กัน
การทำ SEO ในส่วนของ Off-Page นั้นจะองค์ประกอบให้พิจรณาอยู่ 3 ส่วนด้วยกันคือ
1. Link Building
2. Age of Domain
3. Behavior of Vistors
Off-Page Factors SEO ปรับแต่งเว็บจากภายนอก
การทำ SEO จริงๆ แล้วไม่ใช่เรื่องยากอะไรมากนัก หากเรามีความเข้าใจในรูปแบบการจัดอันดับของ Search Engine ซึ่งสำหรับคนไทยอย่างเราคงต้องพุ่งเป้าไปที่ Google อย่างแน่นอน เพราะว่าคนไทยส่วนใหญ่ใช้ Google ในการค้นหาข้อมูล และนี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราต้องมาศึกษา Off-Page Factors กันอย่างจริงจัง
การทำ SEO ในส่วนของ Off-Page นั้นจะองค์ประกอบให้พิจรณาอยู่ 3 ส่วนด้วยกันคือ
1. Link Building
2. Age of Domain
3. Behavior of Vistors
ลิงค์ขาเข้า (Link Building)
Search Engine ส่วนใหญ่พยายามหาระบบการจัดอันดับที่มีความยุติธรรม และส่งผลประโยชน์ต่อผู้ใช้ให้มากที่สุด ซึ่งก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่เว็บที่มีประโยชน์ หรือเป็นที่ชื่นชอบจะได้รับการทำลิงค์เข้าหาจำนวนมาก เมื่อทาง Search Engine พบว่ามีการทำลิงค์ให้กับเว็บใดเว็บหนึ่งจำนวนมาก ก็จะตั้งสมมุติฐานขึ้นมาทันทีว่าเว็บนั้นจะต้องมีดีอะไรสักอย่าง ผลก็คือ เว็บนั้นจะถูกเอาใจจาก Search Engine โดยการให้อยู่ในอันดับที่สูงกว่าเว็บอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน
การทำ ลิงค์ (Link Building) ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดสำหรับการทำ SEO ในยุคปัจจุบัน Google และ Yahoo ต่างนำเอาปัจจัยนี้มาเป็นปัจจัยหลักในการจัดอันดับ เมื่อเราทราบเช่นนี้ ก็อยากจะแนะนำให้คอยหาลิงค์เข้าหาเว็บไซต์เราอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการ submit directory หรือการใช้ Social Bookmark ก็สามารถเพิ่มลิงค์ให้กับเว็บเราโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
มี เหมือนกันที่ยอมที่จะเสียเงินซื้อลิงค์จากเว็บมีชื่อเสียง เพื่อช่วยดันอันดับเว็บของเราให้สูงขึ้น แต่แน่นอนว่าลิงค์ดังกล่าว Search Engine ย่อมไม่ชอบ และอาจจะไม่นำลิงค์นั้นมาพิจรณาในการให้คะแนนการจัดอันดับ
อายุของโดเมน (Age of Domain)
โดเมนยิ่งเก่า ยิ่งขลัง อันนี้เรื่องจริงครับ เพราะว่า Search Engine อย่าง Google เอาเรื่องของอายุโดเมนมาใช้ในการจัดอันดับด้วยเช่นกัน สังเกตุง่ายๆ ว่าหากเรามีเว็บที่จดโดเมนไว้ตั้งแต่ปี 2001 กับเว็บใหม่ที่พึ่งจด ลองทำการเขียนบทความ และนำออกแสดงพร้อมกัน จะสังเกตุได้ทันทีว่า Google จะมาทำการ Index บทความของเว็บที่มีโดเมนเก่ากว่าก่อน แต่ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย
การใช้งานของผู้ใช้ (Behavior of Vistors)
Search Engine ได้พยายามเข้ามามีบทบาทกับการใช้งานของผู้ใช้งานมากขึ้น มีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา โดยศึกษาพฤติกรรมการใช้งาน Search Engine ว่ามีแนวโน้มไปอย่างไร หากเว็บเราสามารถเกาะติดแนวโน้มดังกล่าวได้ ก็มีโอกาสที่ Search Engine จะนำเว็บเราขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าเว็บอื่นๆ
หากมองเป็น เรื่องของความสำคัญว่าการปรับแต่งส่วนไหนสำคัญที่สุด Off-Page นี่หละสำคัญที่สุด โดยเฉพาะในส่วนของ Link Building ที่บอกไปข้างต้น แต่ก็ใช่ว่าส่วนอื่นๆ จะไม่สำคัญ จึงอยากแนะนำว่าให้หมั่นศึกษารูปแบบของ Search Engine ของค่ายที่เราต้องการอยู่เสมอ และเมื่อเราเข้าใจการทำอันดับใน Search Engine ดังกล่าวก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรนัก
On-Page Factors SEO ปรับแต่งเว็บจากภายใน
บท ความที่แล้วเราได้ทำความรู้จัก กับ Page Factors ทั้งสองแบบนั่นคือ On-Page และ Off-Page เป็นที่เรียบร้อย คราวนี้เราจะมาลงลึกในส่วนของ On-Page Factors กันหน่อยว่าการทำ SEO โดยการปรับแต่งเว็บจากภายในนั้นเราสามารถทำได้อย่างไร
SEO (Search Engine Optimization) สำหรับการปรับแต่งในส่วนของ On-Page ถือว่าเป็นการปรับแต่งที่ง่ายที่สุด เพราะเราสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเราเอง โดยส่วนใหญ่แล้วปัจจัยภายในนั้นสามารถแบ่งออกเป็นได้ 3 ส่วนหลักๆ คือ
1. โครงสร้างของเว็บไซต์ (Website Structure)
2. เนื้อหาของเว็บไซต์ (Website Content)
3. ลิงค์ออกไปยังเว็บอื่น (Outbound-Links)
ปรับแต่งโครงสร้างขอเว็บไซต์
เป็น ที่แน่ชัดว่าเว็บไซต์โดยทั่วไปจะพัฒนาด้วยภาษาจำพวก HTML PHP ASP JSP ซึ่งภาษาเหล่านี้ตัว Search Engine เองไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือนำไปใช้ในการจัดอันดับ แต่สิ่งสำคัญคือรูปแบบการจัดโครงสร้างของหน้าเว็บโดยการใช้ HTML TAG ในการบ่งบอกความสำคัญของแต่ละส่วน
1. Title Tag – <TITLE></TITLE>
เคย สังเกตุไหมครับว่าผลการค้นหาของ Search Engine เอาข้อความจากไหนไปแสดงที่ Title ของแต่ละเว็บ คำตอบก็คือ ข้อความที่อยู่ภายใน Title Tag นี่หละครับ และแน่นอนว่าหากเราปรับแตงเว็บ โดยเน้นคำสำคัญ (Keyword) ไว้ที่ส่วนของ Title Tag นี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บเราสามารถทำอันดับได้ดีขึ้นใน Search Engine
2. Head Tag – <H1></H1>, <H2></H2>, <H3></H3>
Head Tag ถูกนำไปใช้ในการเน้นหัวข้อต่างๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าใจได้ว่าเนื้อหาส่วนนี้เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับ อะไร ทาง Search Engine ก็เช่นกัน ได้นำข้อความส่วนของ Head Tag มาใช้ตรวจสอบโครงสร้าง และเนื้อหาของเว็บว่ามีความเกี่ยวข้องกันอย่างไร และหากภายในเว็บเนื้อหาที่ตรงกับคำค้นหาที่ผู้ใช้งานค้นมาจาก Search Engine ก็ไม่แปลกที่เขาจะจัดอันดับเว็บเราให้อยู่สูงกว่าเว็บอื่นๆ
3. Meta Keyword Tag – <META NAME=”keyword” content=”Optimizing On-Page Factors for Search Engine”>
การบ อก Search Engine ว่าเว็บเรานั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับอะไร วิธีง่ายสุดเห็นจะเป็นการใช้ Meta Keyword Tag เพียงแค่เราใส่ Keyword ที่มีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหาลงไปให้พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป ทาง Search Engine ก็จะนำส่วนนี้มาใช้พิจรณาความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆ เพื่อใช้ในการจัดอันดับเช่นกัน แต่ปัจจุบัน Meta Keyword Tag ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดจนทำให้ Search Engine หลายเจ้าได้เลิกนำไปใช้ในการจัดอันดับเป็นที่เรียบร้อย ยกตัวอย่างเช่น Google เป็นต้น
Meta Description และ Meta Keyword
Meta Description และ Meta Keyword
4. Meta Description Tag – <META NAME=”description” content=”Optimizing On-Page Factors for Search Engine”>
โดย มากแล้วเนื้อหาในส่วนของ Meta Description จะถูกนำไปแสดงที่ส่วนของรายละเอียดที่อยู่ใต้หัวข้อที่หน้าผลการค้นหาของ Search Engine ทางทีดีในส่วนของ Description เราจะต้องบอกรายละเอียดโดยสรุป และมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา หรือคำสำคัญ (Keyword) ให้มากที่สุด
5. Image ALT Tag – <IMG ALT=”Description of Image” SRC=”image.jpg”>
การทำ เว็บให้สวยคงจะหนีที่จะใช้รูปภาพมาตกแต่งให้ดูดีเป็นไม่ได้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าการนำภาพมาตกแต่งเว็บสามารถช่วยในการทำ SEO ได้เช่นกัน เพราะทาง Search Engine มองความครบถ้วนสมบูรณ์ของเนื้อหา การมีภาพสามารถช่วยทำให้เนื้อหากระจ่างมากขึ้น และแน่นอนทาง Search Engine ชอบเช่นนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องทำคือ การบอกว่าภาพนั้นมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหา โดยการใส่ Image ALT Tag เข้าไปเพื่อบอกว่าภาพนั้นเป็นภาพอะไร เพื่อช่วยให้ Search Engine ทำงานได้ง่ายขึ้น
คำว่าเนื้อหาในที่นี้ผมคงจะไม่ได้หมายถึง เพียง ข้อความที่จะสื่อไปยังผู้อ่านเท่านั้น ยังรวมถึงคำสำคัญ (Keyword) ที่เราสนใจในการทำ SEO ที่ส่งผลต่อการจัดอันดับโดย Search Engine อีกด้วย
1. Density of keywords
หาก เราต้องการทำเว็บให้ได้อันดับดี เราคงจะมองข้ามเรื่องนี้เสียไม่ได้ เพราะว่าหากเว็บที่มีเนื้อหาเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ แต่ปราศจากคำสำคัญ (keyword) ที่ผู้ใช้นิยมใช้ค้นหารวมอยู่ด้วย โอกาสที่เว็บแห่งนี้จะถูกค้นหาเจอคงแทบจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อรู้เช่นนี้ สิ่งสำคัญคือทุกครั้งที่เราจะเขียนเนื้อหาลงในเว็บไซต์ เราควรจะนึกถึงคำสำคัญ (Keyword) ที่เราอยากจะให้ผู้ค้นหาค้นพบเว็บ แล้วนำไปแทรกอยู่ในเนื้อหาของเว็บอยู่อย่างสม่ำเสมอ
แต่การที่ เราจงใจปรับแต่งเว็บมากจนเกินไป อาจจะทำให้ผู้เยี่ยมชมรู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมชาติของเนื้อหา หรืออาจทำให้เข้าใจในเนื้อหาได้ยากมากขึ้น ดังนั้นทาง Search Engine จึงมีการตรวจจับความหนาแน่นของ Keyword ว่าเว็บไหนมีการปรับแต่งเว็บจนดูว่าเป็นการจงใจเพียงเพื่อให้ได้อันดับดี เท่านั้น สิ่งที่ตามมาคือเว็บเหล่านั้นจะถูกดันลงไปอยู่ในหลุ่ม สำหรับความหนาแน่ของ Keyword ที่ดีนั้นคงยากที่จะระบุให้แน่ชัด แต่โดยทั่วไปแล้วเราควรควบคุมไม่ให้เกิน 13% หากมากกว่านี้อาจทำให้ Search Engine ไม่พอใจก็เป็นได้
2. Unique Content
โลกปัจจุบันทำให้ ทุกอย่างดูจะสะดวกไปหมดการ copy เนื้อหาเป็นเรื่องธรรมดาจนกลายเป็นว่าใครจะเอาไปลงเว็บไหนก็ได้ ทาง Searh Engine ก็เตรียมรับมือกับเนื้อหาที่ซ้ำซากพวกนี้เช่นกัน หากทาง Search Engine พบว่าเนื้อหานี้เคยถูกเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต และถูกเก็บลงฐานของมูลของเขาเป็นที่เรียบร้อย ทาง Search Engine จะให้เครดิตกับเนื้อหาที่ซ้ำน้อยลงไปอย่างเห็นได้ชัด หรืออาจจะถึงขั้นไม่เก็บข้อมูลที่ซ้ำไว้เลย สิ่งที่ตามมาสำหรับเว็บที่มีเนื้อหาซ้ำกับชาวบ้านเยอะๆคือ เว็บนั้นจะถูกมองว่าเป็นเพียงเว็บขยะ มีแต่เนื้อหาที่ซ้ำ คัดลอกมาจากที่อื่น ผลก็คือ เว็บเหล่านี้จะไม่สามารถทำอันดับได้ใน Search Engine เมื่อเป็นเช่นนี้ Unique Content ความเป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใครจึงเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการทำ SEO ในปัจจุบัน เพราะหากเราต้องการให้ Search Engine มองว่าเว็บนี้สมควรจะขึ้นไปอยู่อันดับต้นๆ ก่อนอื่นต้องแสดงถึงความแตกต่างให้เห็นก่อน
ลิงค์ออกไปยังเว็บอื่น
การทำลิงค์ออกไปยังเว็บอื่นใช่ว่าจะไม่มีผลต่อการทำ SEO เพราะว่าทาง Search Engine มองว่าการทำลิงค์ออกเป็นการให้แต้มที่ตัวเองเก็บสะสมไว้อยู่ส่งต่อไปยังเว็บ ปลายทาง
ดังนั้นหากเว็บเราทำลิงค์ออกไปยังเว็บจำนวนมากก็หมายความว่าเราได้มอบแต้ม ที่เราเก็บสะสมไว้ให้กับคนอื่นเสียหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเว็บปลายทางนั้นเป็นเว็บที่ทาง Search Engine มองว่าเป็นเว็บที่ไม่เหมาะสม หรือเข้าข่าย SPAM ทาง Search Engine จะลดเครดิตของเว็บเราทันที
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของการปรับแต่งเว็บ จากภายใน (On-Page Factors Optimization) หากทุกท่านสามารถนำไปปรับใช้กับเว็บของตัวเองได้อย่างเหมาะสม เว็บของท่านก็มีโอกาสที่จะถูกส่งเสริมให้อยู่ในอันดับที่สูง แต่อย่าลืมว่าหากเว็บเราไร้ซึ่งเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน ไม่นานเว็บนั้นก็จะอันดับตกหล่นลงมาเพราะไม่ว่าผู้ใช้งาน หรือ Search Engine ก็คิดเหมือนกันว่าเว็บนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ในอันดับที่สูงอีกต่อไป
—
ผมเจ้าของเว็บ Search Monopoly ผมเข้ามาตอบกระทู้นี้ ในฐานะผู้มีประสบการณ์ การทำ SEO แบบฉบับ ใช้มือโพสแบบ Manual เป็นหลัก
ผมได้ทดสอบ และสังเกตุการทำอันดับตั้งแต่ปี 2014 มายังปี 2016 พบว่า การทำอับดับทาง SEO ใช้เวลานานครับ และ การแกว่งของ outcome ของ ฐาน Impression มันแกว่งแบบคงที่ และสวยงามเป็นขั้นบันไดมากยิ่งขึ้น
ต่างการรูปแบบการทำ SEO ในสมัยก่อนๆ ที่ทำฐาน Backlink แรงๆ จำนวนมากๆ ผูกลิงค์เชื่อมโยงกับเว็บ Target Site หรือ Terget Page ของเรา เพื่อทำ Ranking
ผมเริ่มรู้สึกกว่า การทำอันดับทาง Organic มันไม่สามารถควบคุมได้โดยตรงจากนักทำ SEO อีกต่อไปแล้วครับ
และผู้ที่คาดหวังการทำ อับดับทาง SEO ต้องทำแบบอ้อมๆ และสะสมไว้เป็น Outcomes ในระยะยาว
ซึ่งตรงนี้เอง ที่การรับทำ SEO แทบจะเป็นไปได้ยาก เพราะการทำสัญญาให้เห็น ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมได้จริงๆ จะต้องกินเวลามากกว่า 18 เดือนแล้วหล่ะ อันนี้ผมทำ Research มาแล้ว และที่เห็นเจ้าใหญ่ๆ ที่ติดอันดับใน 3 เดือน หรืออย่างน้อย 3 weeks แบบนี้ เสี่ยงครับ ทำอย่างไรก็เสี่ยง หากคุณไม่สามารถแบกรับความเสี่ยง และต้องการทำ SEO ในแบบธรรมดาค่อยๆเป็นค่อยๆไป มาเรียนรู้กับผมได้ก่อนนะครับ
ผมไม่ต้องการลูกค้าจำนวนมาก ผมต้องการลูกค้าที่้มีความต้องการใช้งานผมในแบบ ระยะยาวหรือแบบถาวรครับ โปรดศึกษารายละเอียดได้ที่
และผมได้พยายาม เขียน ข้อมูลแน่นๆ แบบ Encycopedia ในเรื่องของการทำ SEO เน้นๆ ในแบบพัฒนาเว็บในเชิงโครงสร้างแน่นๆ เหมาะสำหรับงานใหญ่ๆ ที่เน้นการขยายฐาน Impression และ Visability วงกว้างแบบ Diverse Keywords ลองเข้าไปศึกษาได้ที่ >> http://searchmonopoly.com/seo/
อีกทั้งทาง Search Monopoly เป็นผู้นำด้านการพัฒนา ธุรกิจ และ การตลาดออนไลน์ โดยมุ่งเน้นสร้างเครือข่ายทางธุรกิจที่ช่วยเหลือกันในวงกว้างครับ คุณสามารถเข้ามาเรียนรู้ได้อย่างฟรีๆ แบบไม่เสียเงินเลย และมีสถานที่จัดให้ฟรี เพียงแค่เสียเวลา และ ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังครับ
ทางเครือข่ายมีประสบการณ์ที่สนุก และเป็นกันเอง มากสาระเนื้อหาเชิงเทคนิค อาจไม่เหมาะกับ ผู้ที่เริ่มต้นทำการตลาดออนไลน์นะครับ แต่จะเหมาะกับ SME สายปฏิบัติของจริง ผมได้แนบ ภาพบรรยากาศภายในงาน และ Info. กราฟ ทางเทคนิค แนบมาที่ Reply ฉบับนี้ให้ท่านได้ลองพิจารณา และหากบังเอิญได้ผ่านมาเห็น ท่านเองสามารถลองเข้ามา เรียนรู้การทำโฆษณา ออนไลน์ ในแบบระบบ War Room ของทาง Search Monopoly ที่มุ่งเน้นการพัฒนาเครือข่ายธุรกิจมากกว่าการอัดโฆษณาแบบไร้ประสิทธิภาพครับ
เข้ามาดูได้ที่ >> http://searchmonopoly.com/landing-pages/free-adword-course/
การตลาดของเราไม่หวือหวานะครับ ถ้าท่านเป็นสายงานพัฒนาเนื้อหาและโครงสร้างเว็บแบบเชิงคุณภาพ ขอแนะนำว่า Search Monopoly เหมาะสมกับจริตของคุณแน่นอน
เราได้นักธุรกิจที่จบมาทางด้านวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ยังไม่ค่อยมีคนมาทางด้านสาย Creative หรือ แบบ จินตนาการเสียเท่าไหร่ หรือแม้แต่พวกพ่อค้าขายของออนไลน์ ที่ไม่มีความรู้ทางเทคนิค ก็อาจจะ งง ไปบ้าง ลองมาปรับจริตกันครับ
ที่นี่เรียนรู้กับแบบพี่น้อง แวดวงผู้ประกอบการจะจับมือกันทำสอนกันเองเสียส่วนใหญ่ ทางเรามี Culture ส่วนตัวที่ทำให้ท่านเข้าใจว่า โลกของ SEO มันคือการให้ และการสร้างความสัมพันธ์ ไม่ใช่การทำ Backlinks แต่อย่างใดครับ
เราเชื่อมั่นว่า Links แรงๆ มาจาก คุณภาพ และ ใจเราที่มีการให้และช่วยเหลือกันนั่นแหละครับ มันจะเข้ามาก่อเกิดเติมเต็มให้กับธุรกิจของคุณเอง หากพร้อมโปรดติดต่อผมโดยตรงผ่านทางช่องทาง INBOX ใน FACEBOOK FANPAGE ดังนี้นะครับ
>>> https://www.facebook.com/searchmonopoly/