การสร้าง Backlink รูปแบบต่างๆ และเรื่องของ Link Score
การสร้าง Backlink มีความคัญต่อการทำ SEO ถึงแม้ว่าปัจจุบัน Google จะหันไปให้ความสำคัญกับจำนวนคนเข้าเว็บเป็นหลัก แต่การทำ SEO ก็ยังต้องสร้าง Link ควบคู่ไปกับการสร้าง Traffic เข้าเว็บไซต์ และการทำ SEO ในยุคปัจจุบัน ไม่ใช่แค่สร้าง Backlink หรือสร้าง Traffic อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น หากแต่จะต้องสร้างทั้ง แบ็คลิงค์ และ ทราฟฟิก ควบคู่กัน ด้วย การเพิ่มขึ้นของจำนวนแบ็คลิงค์และทราฟฟิกต้องมีความสัมพันธ์กัน ถ้าทำเอสอีโอแล้วเพิ่มแค่แบ็คลิงค์ แต่ไม่มีทราฟฟิกเข้าเว็บเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Search Engine Traffic หรือ ทราฟฟิกที่มาจากการค้นหา และคลิกเข้าเว็บ ผ่านทาง Google Search
ในหัวข้อนี้ ผมจะอธิบายเกี่ยวกับการสร้าง Backlinks รูปแบบต่างๆ รวมทั้งอธิบายเกี่ยวกับเรื่องของ Link Score ว่า ควรสร้างลิงค์แบบไหน บนเว็บไซต์แบบไหน และเขียนบทความอย่างไร ให้เพิ่มความแรงให้กับ Backlink ที่เราสร้างขึ้น รวมทั้งการอธิบายตำแหน่งการวางของลิงค์ ว่าแต่ละตำแหน่งมีผลต่อคะแนนของลิงค์ที่สร้าง เป็นต้น
ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Anchor Text Link กับ Domain Link คืออะไร?
Anchor Text Link คือ การสร้างลิงค์ด้วย Keyword หรือ ข้อความ ประโยคใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดหลักของเว็บไซต์ของเรานั่นเองครับ เช่น ผมสร้าง Anchor Text Link ด้วยคำว่า “seo” เป็นต้น
Domain Link คือ การที่เราสร้างลิงค์ด้วย Domain Name ของเว็บไซต์ หรือ URL ของเว็บไซต์ เช่น ผมสร้างลิงค์ ด้วยคำว่า “http://www.thaiseoboard.com ” เป็นต้น
Image Link คือ การสร้างลิงค์ด้วยรูปภาพ ซึ่ง มีความสำคัญกับการทำ SEO ด้วยเช่นกัน เพราะการที่เว็บมี Image Link ในสัดส่วนที่เหมาะสม ทำให้ Google มองว่าเว็บของเรามีคุณภาพ มีการสร้างลิงค์ที่หลากหลาย แนะนำว่า ควรสร้าง Image Link ประมาณ 5 – 10 % ของลิงค์รูปแบบอื่นๆ ทั้งหมด อีกทั้งช่วยสร้างความน่าสนใจ ให้ User ทำการ Click เข้าอ่านเว็บหลักอีกด้วย เป็นการช่วยเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บที่ดีมากๆ
การกระจาย Anchor Text Link คืออะไร? โดยปกติแล้ว การสร้าง Anchor Text Link หรือ การสร้างแบ็คลิงค์ด้วย Keyword หลักของเว็บไซต์ ด้วยคีย์ใดคีย์หนึ่งมากเกินไป จะทำให้ Google มองว่าเป็นการสร้างลิงค์ที่ไม่เป็นธรรมชาติ ที่เรียกว่า Unatural Link นั่นเองครับ และยังมองอีกว่าเป็นการทำเอสอีโอแบบ Over SEO ซึ่ง แน่นอนว่ามันจะส่งผลเสียต่ออันดับเอสอีโอของเว็บไซต์ อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่า ลิงค์ที่เราสร้างขึ้นนั้น จะมาจากหน้าเว็บ หรือบทความ ที่มีคุณภาพก็ตามครับ ดังนั้น เวลาที่เราสร้าง Backlinks เราไม่ควรสร้างลิงค์ด้วย Keyword เดิมๆ ซ้ำๆ กัน กรณีที่เราต้องการทำอันดับคีย์เวิร์ดหลัก ก็ควรสร้าง Anchor Text Link ให้กับคีย์เวิร์ดหลัก ประมาณ 30 – 40 เปอร์เซ็นต์ ของลิงค์ทั้งหมด นอกนั้นก็ทำการกระจาย Anchor Text Link ครับ เช่น หากเรา ต้องการทำ SEO คีย์คำว่า “รถเช่า” ซึ่งเป็นคีย์หลักของเว็บไซต์ และเป็นคีย์ ที่เราต้องการติดหน้าแรก Google ก็เราให้กระจายหลายๆ คีย์เวิร์ด เช่น “รถเช่า” , “รถเช่า ราคาถูก” , “รถเช่า ราคาประหยัด” , “รถเช่า Vios” , “รถเช่า altis” , “รถเช่า city” , “รถเช่า civic” , “รถเช่า เชียงใหม่” , “รถเช่า กรุงเทพ” เป็นต้น
สร้าง Backlink อย่าลืมให้ความสำคัญกับ Domain Link ! แม้ว่าเราจะสร้างลิงค์แบบ Anchor Text Link แล้ว และได้ทำการกระจายคีย์เวิร์ดให้ดูเป็นธรรมชาติ อย่างไรก็ตามการที่จะให้ User คลิกเข้าอ่านเว็บหลักนั้น เราจำเป็นต้องใช้ Domain Link หรือ URL Link ในการแนะนำยูสเซอร์ ให้คลิกเข้าอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์หลัก เพราะผู้ใช้งานมักมีพฤติกรรม ไม่ชอบคลิกลิงค์ที่เป็นคีย์เวิร์ด ยกเว้นสงสัย ความหมายของคีย์เวิร์ดนั้นๆ จริงๆ ดังนั้น การที่เราจะติดลิงค์ ที่เป็น Credit หรือ Money Site ของเรา แนะนำให้สร้างลิงค์แบบ Domain Link แทนครับ นอกจากนี้ การที่เราสร้าง โดเมนลิงค์ จะช่วยทำให้กูเกิลมองว่า เราสร้างลิงค์คุณภาพมากยิ่งขึ้น แทนที่จะไปโฟกัส แค่การสร้างลิงค์แบบคีย์เวิร์ด นั่นเองครับ
Dofollow Link กับ Nofollow Link คืออะไร ปัจจุบันสำคัญอยู่ไหม?
ความเป็นมาระหว่าง Dofollow กับ Nofollow ในการทำ SEO หากพูดเกี่ยวกับการสร้าง Link ก็ต้องพูดถึงเรื่องของ Dofollow Link กับ Nofollow Link แม้ว่าปัจจุบัน แทบจะไม่มีความสำคัญมากนัก เพราะระบบ Google Search ฉลาดมากยิ่งขึ้น คะแนนของลิงค์ ไม่จำเป็นต้องนำเอาหลักการสร้างลิงค์แบบ Dofollow หรือ Nofollow มาคิดให้คะแนนลิงค์ อีกทั้งปัจจุบัน Google ได้ ปิดการแสดงค่า Page Rank หรือ แสดงค่า PR ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง เมื่อก่อน ตอนที่กูเกิลยังแสดงค่า PR และค่า PR นี่เอง ก็มีผลต่อการทำ SEO ค่อนข้างมาก เรียกได้ว่า สร้าง Link จากหน้าเว็บที่มีค่า Page Rank สูงๆ สัก 5 – 10 ลิงค์ ก็อาจมีคะแนน และอันดับที่ดีกว่า การสร้างลิงค์ บนหน้าเว็บที่มีค่า Page Rank น้อยๆ 100 – 200 เว็บเลยก็ว่าได้ สิ่งนี้เองครับ มันเป็นความเหลื่อมล้ำของนักทำ SEO ที่มุ่งเน้นคุณภาพ แต่ไม่ได้สร้างลิงค์จากเว็บที่มีค่า PR สูง กลับกัน นักทำ SEO ที่ไม่ได้ทำ SEO คุณภาพ แต่อาศัยการซื้อ-ขาย Text Link บนเว็บที่มีค่า PR สูง กลับทำอันดับได้ดีกว่า สิ่งเหล่านี้เป็นความผิดพลาดของการจัดอันดับของ Google และเป็นช่องโหว่ที่ทำให้นักทำเอสอีโอสามารถทำอันดับได้ง่ายๆ แค่ติด Link บนเว็บที่มีค่าพีอาร์สูงๆ โดยที่ในหน้านั้น ไม่มีบทความอะไรเกี่ยวกับ Keyword หลักของเว็บปลายทาง ที่ Link ชี้ไปเลย Google จึงทำการปิดการแสงค่า Page Rank เพื่อไม่ให้นักทำเอสอีโอทราบค่านี้ ของแต่ละเว็บ ป้องกันการซื้อ-ขาย Link นั่นเองครับ อย่างไรก็ตาม Google ไม่ได้ออกมายืนยันนะครับ ว่าได้ยกเลิกค่า Page Rank แต่จะอย่างไรก็ตาม แม้ว่า Google จะยกเลิกหรือไม่นั้น กูเกิลฉลาดมากขึ้นมาก ดังนั้น แม้เว็บที่ติดลิงค์บนหน้าที่มีค่า Page Rank สูงๆ (ซึ่ง ค่าเหล่านั้นแสดงในทางเทคนิคของ Google) แต่ถ้าเนื้อหาระหว่างเว็บที่ใช้ติด Link กับเว็บปลายทางที่ลิงค์ชี้ไป ถ้าหากไม่มีความสอดคล้องกัน หรือ จัดอยู่ในกลุ่ม Keyword หลักเดียวกัน ก็ไม่ทำให้อันดับ SEO ขยับขึ้นได้ อีกทั้ง นักทำ SEO สายดำ หรือ Black Hat ส่วนใหญ่ จะติดลิงค์โดยไม่สร้าง Content ที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นสิ่งที่จะช่วยเรื่องของอันดับเอสอีโอได้ยากในยุคนี้
ความแตกต่างระหว่างลิงค์แบบ Dofollow กับ Nofollow ! หากจะพูดเกี่ยวกับการสร้างลิงค์ทั้งสองแบบในแง่ของค่า Page Rank ซึ่งแน่นอน ปัจจุบัน Google ไม่แสดงค่านี้แล้ว การที่เราสร้าง Link แบบ Dofollow นั้น เว็บที่ลิงค์ชี้ไปหา หรือเว็บปลายทาง จะได้รับค่า PR จากเว็บที่ติดลิงค์ เช่น หากเรา ติดลิงค์บนเว็บที่มีค่า PR 5 จำนวน 10 เว็บ เว็บของเราก็จะมีค่า PR 3 เป็นต้น ทั้งๆ ที่ Content ของเว็บที่ถูกชี้ไปนั้น จะมี Content คุณภาพน้อยมาก หรือไม่มีเลยก็ตาม ซึ่งแน่นอน มันไม่เป็นธรรมกับนักทำ SEO สายคุณภาพ เป็นเหตุให้ Google ปิดการแสดงค่าเหล่านี้ แต่ถ้าเป็นการสร้างลิงค์แบบ Nofollow หมายถึง เว็บปลายทางจะไม่ได้รับค่า PR จากหน้าเว็บที่ติดลิงค์ นั่นเอง และ Googlebots ก็จะไม่ตามลิงค์เหล่านั้นด้วยครับ
เมื่อระบบ Google ฉลาดขึ้น ! ในปัจจุบันนักทำ SEO ไม่ต้องห่วง หรือไม่ต้องสนใจเกี่ยวกับเรื่องของ Dofollow และ Nofollow มากนัก เพราะการทำ SEO ปัจจุบัน อาศัยปัจจัยการทำอันดับ หรือที่เรียกว่า SEO Factors หลายอย่าง ในการสร้าง Links ก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าเราจะทำการสร้าง Link แบบ Dofollow หรือ Nofollow หากสร้างลิงค์บนเว็บไซต์คุณภาพ ที่มีบทความ เนื้อหา และคีย์เวิร์ดหลัก สอดคล้องกับเว็บไซต์ของเรา ก็ส่งผลดีต่ออันดับทั้งนั้นครับ แต่กลับกัน หากสร้างลิงค์บนหน้าเว็บที่ไม่มีคุณภาพ เนื้อหาก็ไม่ได้สอดคล้องกับเว็บหลักของเรา จะสร้างลิงค์แบบไหนก็ไม่ส่งผลดีต่ออันดับเว็บไซต์ครับ แต่ถ้าหากคุณสร้างเว็บ ที่มีลิงค์ออกจำนวนมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเว็บ Review สินค้า หรือเว็บที่จำเป็นต้องสร้างลิงค์ออกมากๆ ก็ควรใช้การสร้าง Link แบบ Nofollow นะครับ จริงอยู่ที่มันไม่มีผลต่อค่า Page Rank และปัจจุบันกูเกิลก็ไม่แสดงค่านี้แล้ว แต่ถ้ามีการทำให้ลิงค์ออกมากเกินไป อาจส่งผลให้ Google มองคุณภาพของเว็บด้อยลงไป หรือเว็บของคุณอาจมีคุณภาพต่ำในสายตา Google นั้นเองครับ สรุป ถ้ารู้ว่าเว็บของตัวเอง มีลิงค์ออกมากๆ ก็ใช้การสร้างลิงค์แบบ Nofollow แต่ถ้าใช่ ก็ใช้แบบปกติ และสิ่งที่ควรรู้อีกอย่างหนึ่งก็คือ ไม่ว่าคุณจะกำหนด หรือไม่กำหนดลิงค์แบบ Dofollow หรือไม่ ถ้าคุณไม่ได้กำหนดลิงค์แบบ Nofollow กูเกิลจะเข้าใจว่าเป็น Dofollow อัตโนมัติครับ
คำสั่งที่เกี่ยวข้องกับ dofollow และ nofollow มีดังนี้
1. rel=”dofollow” เป็นคำสั่งสร้างลิงค์แบบ dofollow ใช้ร่วมกับแท็กคำสั่ง < a href="http://www.thaiseoboard.com " title="seo" rel="dofollow" >seo< /a>
2. rel=”nofollow” เป็นคำสั่งสร้างลิงค์แบบ nofollowใช้ร่วมกับแท็กคำสั่ง < a href="http://www.thaiseoboard.com " title="seo" rel="nofollow" >seo< /a>
คำสั่งการสร้าง Links ด้วยภาษา HTML
ในหัวข้อย่อยนี้ ผมจะต้องการให้นักทำ SEO มือใหม่ หรือผู้ที่สนใจต้องการทำเอสอีโอด้วยตัวเอง สามารถเข้าใจวิธีการสร้าง Backlink แบบง่ายๆ ซึ่ง มันก็ง่ายๆ จริงๆ ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไร ในการเชื่อมโยงลิงค์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างลิงค์แบบภายใน (Internal Link) และการเชื่อมโยงลิงค์ภายนอก (External Link) มีการใช้คำสั่งเหมือนกันทุกประการ แตกต่างกันที่ตำแหน่ง หรือ URL ที่จะชี้ไปนั่นเอง ว่าเราทำการเชื่อมโยงไปยังเว็บภายนอก หรือเชื่อมโยงลิงค์ภายในเว็บไซต์ของเรา
คำสั่งการสร้างลิงค์แบบ Anchor Text Link : < a href="http://www.thaiseoboard.com " title="seo" >seo< /a>
คำสั่งการสร้างลิงค์แบบ Domain Link : < a href="http://www.thaiseoboard.com " title="seo" >http://www.thaiseoboard.com < /a>
คำสั่งการสร้างลิงค์แบบ Image Link : < a href="http://www.thaiseoboard.com " title="seo" >< img scr="http://www.thaiseoboard.com/image01.jpg " />< /a>
รูปแบบการเชื่อมโยงลิงค์
เราได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการสร้าง Link แบบต่างๆ แล้ว การเชื่อมโยงลิงค์ ก็มีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไปเช่นกันครับ และแน่นอนว่ามีผลต่อความแรงของลิงค์อีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม การสร้งลิงค์ให้มุ่งเน้นที่การสร้าง Content คุณภาพ เป็นหลักครับ ส่วนจะเลือกใช้วิธีเชื่อมโยงลิงค์แบบไหน ขึ้นอยู่กับเว็บไซต์ หรือรูปแบบเว็บที่คุณใช้สร้างลิงค์นั่นเองครับ
การเชื่อมโยงลิงค์แบบ Direct Link คืออะไร?
การสร้างลิงค์แบบ Direct Link คือ การสร้างลิงค์ชี้เข้าไปยังเว็บตรงๆ ซึ่ง เป็นการสร้างลิงค์ที่มีความเป็นธรรมชาติที่สุด แต่มีความแรงในการดันอันดับได้น้อยที่สุด เช่นกัน แต่การทำ SEO ควรสร้างลิงค์ด้วย Diect Link เป็นหลัก เพราะเป็นการสร้างลิงค์ที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดครับ
การเชื่อมโยงลิงค์แบบ Pyramid Link คืออะไร?
การสร้างลิงค์แบบ Pyramid Link คือ การสร้างลิงค์เป็นชั้นๆ และชั้นสุดท้าย จึงจะเชื่อมโยงไปยังเว็บหลัก เช่น เราสร้างลิงค์จากเว็บบอร์ด จำนวน 100 เว็บ โดยใช้เว็บบอร์ดชี้ลิงค์ไปยัง บล็อกที่สร้างด้วย WordPress หรือ Blogger จำนวน 20 บล็อก แล้วสร้างลิงค์จาก Blog ชี้เข้าหาเว็บหลัก แบบนี้ จะทำให้ Link จาก Blog มีความแรงมากยิ่งขึ้น เพราะได้รับฐานลิงค์จากเว็บบอร์ดนั่นเอง ส่วนนักทำ SEO คนไหน จะสร้าง Pyramid Link กี่ชั้น ขึ้นอยู่กับความขยัน และ Content ที่สามารถเขียนได้ ไม่ใช่สร้างลิงค์หลายๆ ชั้น แต่เขียนบทความไม่มีคุณภาพ ใช้บทความซ้ำ แบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์ครับ และ Google ก็ไม่นำไปคิดคะแนน
การเชื่อมโยงลิงค์แบบ Link Wheel คืออะไร?
การสร้างลิงค์แบบ Link Wheel มีความแรงสุด ถ้านับจากการสร้างลิงค์แบบอื่นๆ ทั้งหมด แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะโดน Google เก็บ หรือ Ban มากที่สุด เช่นกันครับ การสร้างลิงค์แบบ Link Wheel คือการเชื่อมโยงลิงค์เป็นวงกลม เช่น ถ้าเราจะสร้างลิงค์จาก 100 เว็บ เราจะเชื่อมโยงลิงค์จากเว็บที่ 1 ไปยังเว็บที่ 2 และจากเว็บที่ 2 ไปยังเว็บที่ 3 ตามลำดับ โดยที่หน้าเว็บแต่ละเว็บ มีการสร้างลิงค์ชี้ไปยังเว็บหลัก หรือเว็บที่ต้องการดันอันดับบน Google Search ด้วยนั่นเอง ซึ่งวิธีนี้ นิยมใช้กันมากเมื่อหลายปีก่อน และนักทำ SEO ส่วนใหญ่ จะไม่ใช้วิธีการสร้าง Link แบบนี้กันแล้ว แม้ว่าจะทำอันดับได้แรง แต่หากเขียนบทความไม่มีคุณภาพ เว็บหลัก และเว็บที่ใช้สร้าง Backlink ก็อาจโดน Google Penalty หรือ Ban Website ไปเลย ทำให้ได้ไม่คุ้มเสีย นักทำ SEO ส่วนใหญ่จึงเลี่ยงที่จะใช้วิธีนี้ เพราะนักทำ SEO ทั่วไป มักจะใช้บทความซ้ำๆ ในการสร้าง Backlink หรือ อาจเปลี่ยนแค่ Title ของบทความ หรือแม้แต่การใช้วิธีการ Spin บทความเข้ามาช่วยสร้างคอนเทนต์ แน่นอน ว่าเทคนิคเหล่านี้ ไม่เป็นผลดีต่อการทำ SEO ถ้าหากนักทำ SEO คนไหนต้องการสร้างลิงค์แบบ Link Wheel จริงๆ ก็ต้องเขียนบทความที่มีคุณภาพ เรียกได้ว่า หากต้องการทำ Link Wheel 100 เว็บ ก็ต้องเขียนบทความ 100 บทความ ที่ไม่ซ้ำกันเลย และบทความเหล่านั้น มีประโยชน์ต่อผู้อ่านอีกด้วย และหากสร้างคอนเทนต์คุณภาพอย่างแท้จริง เทคนิคนี้ก็ยังสามารถใช้ได้ทุกยุค ทุกสมัยครับ
สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในการสร้าง Backlink
ในการสร้าง Backlink คุณควรหลีกเลี่ยงการกระทำดังต่อไปนี้ ซึ่ง Google จะมองว่าเป็นการทำ SEO สายดำ และอาจนำไปสู่การถูกทำโทษ Google Penalty หรือ การถูกลดอันดับ Demote Rank ได้ครับ
1. การซื้อ – ขาย Text Link
2. การติด Footer Link / Blogroll Link บนหน้าเว็บที่ไม่เกี่ยวข้อง
3. การแลกลิงค์
4. การติดลิงค์แบบ Widget Link
5. การโพสต์ความซ้ำๆ เพื่อสร้าง Link (Spam Link)
6. การโพสต์บทความ เพื่อสร้าง Link ด้วยเทคนิค Spin Content (อ่านไม่รู้เรื่อง เนื้อหาไม่มีประโยชน์)
7. การสร้าง Private Blog Network หรือ เน็ตเวิร์คส่วนตัว ไม่มีคุณภาพ เพื่อสร้าง Link
8. การสร้าง Link บนหน้าเว็บ Directory
9. การ Submit Link เว็บที่ไม่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
10. การสร้าง Link จากเว็บที่ Google มองว่าเป็น Content Farm
Link Score และการสร้างลิงค์ให้มีคุณภาพ
หากพูดถึงเรื่องของ Link Score ในยุคนี้ แตกต่างจาก ยุคก่อนๆ อย่างสิ้นเชิงครับ เมื่อก่อน Link ที่มีคะแนนสูงๆ ต้องมาจากเว็บใหญ่ๆ หรือมาจากเว็บที่มีค่า Page Rank สูงๆ เมื่อ Google ยกเลิกการแสดงค่า PR ไป และมุ่งไปที่การตรวจสอบคุณภาพของ Content ที่ใช้สร้างลิงค์ ว่าเป็นบทความที่มีคุณภาพ มีลักษณะที่เขียนโดยผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ (Expert Writer) แล้วจึงให้คะแนนของลิงค์ตามคุณภาพของบทความที่เขียน แน่นอนว่าการเขียนบทความคุณภาพ บนเว็บที่มีคุณภาพ ย่อมได้รับคะแนนของลิงค์ที่ดีกว่า ยิ่งหน้าบทความนั้นๆ มีคนอ่าน และมีคนคลิกเข้าเว็บหลัก ก็ยิ่งทำให้คะแนนของ Link เพิ่มขึ้น เพราะลิงค์นั้น ทำให้เกิด Referral Traffic เข้าไปยังเว็บหลัก อีกทั้งยิ่งมีคนอ่านบทความในหน้าที่สร้าง Backlink มากแค่ไหน หน้านั้นๆ ก็จะมีอันดับที่ดีขึ้น การที่หน้าของแบ็คลิงค์มีอันดับที่ดี ย่อมหมายถึง มีความแรงมากยิ่งขึ้น ก็จะช่วยดันอันดับเว็บหลักได้ดียิ่งขึ้น นั่นเองครับ อย่างไรก็ตาม หากจะสรุป เกี่ยวกับการสร้างลิงค์ และทำให้ Link Score ออกมาดี สั้นๆ คือ สร้าง Content ที่มีคุณภาพ น่าสนใจ คนหยุดอ่านนานๆ และคลิกเข้าเว็บหลัก นั่นเองครับ
ติด Link ตำแหน่งไหน ให้คะแนนดีที่สุด?
ก่อนที่ผมจะบอกว่าติดลงค์ตำแหน่งไหน ทำให์ลิงค์มีคะแนนมากที่สุด ผมขออธิบายเกี่ยวกับ ตำแหน่งที่ ทำให้ลิงค์มีคะแนนน้อย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ Google หลายคน ออกมายืนยัน เกี่ยวกับตำแหน่งของคะแนนลิงค์ ไม่ว่าจะเป็น Gary Illyes , John Mueller , Andrey Lipattsev และแม้แต่เจ้าหน้าที่กูเกิลยุคก่อนๆ อย่าง Matt Cutt ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนให้ความเห็นไปในทางเดียวกัน รวมทั้งตัวผมเองด้วย ที่ทดสอบการสร้างลิงค์รูปแบบต่างๆ และให้ผลออกมาตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่Google คือ
การติดลิงค์ที่ทำให้คะแนนของลิงค์น้อย
1. การติดลิงค์ ตำแหน่ง Sidebar การติดลิงค์ตำแหน่ง Sidebar คือการติดลิงค์ด้านข้างของเว็บไซต์ ถ้าเป็น CMS ยอดนิยมอย่าง WordPress จะเรียกตำแหน่งนี้ว่า Blogroll ซึ่ง ปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญกับลิงค์ในตำแหน่งนี้ น้อยลง ส่วนหนึ่ง ก็มาจากการที่นักทำ SEO มักจะซื้อ-ขาย Text Link หรือ ทำการแลกลิงค์ จากตำแหน่งนี้ ค่อนข้างมาก และ Google เองก็มองว่าการสร้างลิงค์ตำแหน่งนี้ มีโอกาสสูงที่จะเป็นการสร้าง Spam Link หรือ การทำ SEO สายดำ (Black Hat) อย่างไรก็ตามตำแหน่งนี้ก็ยังมีคะแนนให้กับลิงค์ ไม่ได้ถูกตัดให้ไม่มีคะแนนเลย เพียงแต่พยายามติดลิงค์บนหน้าเว็บที่เกี่ยวข้อง ก็จะช่วยเรื่องของคะแนนลิงค์ได้มากขึ้นครับ แต่ถ้าติดลิงค์ในหน้าที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเว็บหลัก ติดตำแหน่งไหน คะแนนของลิงค์ก็ออกมาไม่ดีครับ
2. การติดลิงค์ตำแหน่ง Footer การติดลิงค์ตำแหน่งนี้ก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างจาก การติดลิงค์ตำแหน่ง Sidebar เลย เพราะ Google ก็ให้คะแนนของลิงค์ที่ติดตำแหน่งนี้น้อยครับ ซึ่งตำแหน่ง Footer คือ ตำแหน่งด่านล่างสุดของเว็บไซต์ แน่นอนว่า เป็นตำแหน่งที่นักทำ SEO ส่วนใหญ่ ชอบติดลิงค์กัน และนิยมทำการซื้อ-ข่าย Text Link หรือ แลกลิงค์ ซึ่งเป็นวิธีการที่ผิดกฎของ Google หากมีความจำเป็นต้องติดลิงค์เหล่านี้ ในหน้าเว็บอื่น เพื่อสร้าง Backlink ก็ควรเลือกเว็บที่มีเนื้อหาหลัก สอดคล้องกับเว็บไซต์ของเราครับ หรือมี keyword หลัก สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดหลักของเว็บเรายิ่งดีครับ
การติดลิงค์ตำแหน่งที่ให้คะแนนของลิงค์มาก
1. การติดลิงค์ ตำแหน่ง ภายในบทความ Content Link เป็นตำแหน่งที่ทำให้คะแนนมากที่สุด และหากพูดถึง Link Score ที่ดี ก็หมายถึงตำแหน่งนี้ละครับ แต่ต้องเขียนบทความที่มีคุณภาพด้วยนะครับ เนื้อหามีประโยชน์ต่อผู้อ่าน อ่านแล้วได้รับความรู้ และบทความเขียนในลักษณะผู้เชี่ยวชาญ แนะนำว่าเขียนบทความที่มีความยาว สัก 1/2 – 1 หน้า A4 หรือถ้านับเป็นจำนวนอักขระ ก็ควรเขียนบทความ ที่มีความยาวของอักขระ หรือ ตัวอักษร ประมาณ 10,000 – 30,000 คำ แบบนี้ จะมีคุณภาพมากๆ ซึ่งก็เทียบกับความยาวของ A4 ประมาณ 1 – 2 หน้า นั่นเองครับ และการวางลิงค์ในบทความ ก็ควรวาง Link ตรงกลางบทความ ซึ่งแน่นอนว่า เราจะสร้างลิงค์แบบ Anchor Text Link ทำให้ได้คะแนนของลิงค์ที่ดีนั่นเองครับ
2. การติดลิงค์ ตำแหน่ง ท้ายบทความ Credit Link การติดลิงค์ตำแหน่งนี้ อาจลดความแรงของลิงค์ลงนิดหน่อย เพราะการติดลิงค์ภายในบทความ หรือตรงกลางบทความ นั้น มีความแรงที่สุดแล้ว หากเทียบกับตำแหน่งอื่นๆ ครับ อย่างไรก็ตาม การติดลิงค์ตำแหน่งท้ายบทความ หรือ ด่านล่างบทความ ก็มีความสำคัญไม่น้อย เลยครับ และเป็นตำแหน่ง ที่ทำให้คนอ่านคลิกเข้าไปอ่านข้อมูลภายในเว็บไซต์หลัก ทำให้เราเราได้ Traffic เข้าสู่เว็บไซต์นั่นเอง ถึงแม้ว่าคะแนนของลิงค์จะน้อยกว่า แต่คนมักจะคลิกลิงค์จำตำแหน่งนี้ และแน่นอน ว่า ตำแหน่งนี้ มักจะใช้การสร้างลิงค์แบบ Domain Link หรือ URL Link เป็นหลัก ให้คนจดจำชื่อเว็บไซต์ อีกทั้งยังทำให้คนคลิกเข้าเว็บอีกด้วย แม้คะแนนลิงค์จะลดลงนิดหน่อย แต่ถ้าเทียบกับผลที่จะได้นั่นคือ User / Traffic ที่จเข้าสู่เว็บไซต์ มันทำให้ส่งผลดีต่ออันดับมากกว่าด้วยซ้ำ อันนี้ในกรณีที่คนคลิกเข้าอ่านบทความภายในเว็บหลักครับ
การ Index ของ Backlink และระยะเวลาในการอินเด็กซ์บน Search Result
ในการสร้าง Backlinks บน Website อื่นนั้น ระยะเวลาที่บทความ หรือ หน้าเว็บที่เราสร้างขึ้นบนเว็บอื่น จะ Index บนผลการค้นหากูเกิล หรือที่เรียกว่า Search Result Pages นั้น จะใช้ระยะเวลาที่แตกต่างกันครับ เช่น บางเว็บมีคนเข้าอ่านน้อย บทความส่วนใหญ่ มีการโพสต์ซ้ำๆ และ Google มองว่าเป็นเว็บ Duplicate Content แต่ไม่ร้ายแรงถึงขึ้น แบนเว็บออกจากผลการค้นหา แม้ว่าเราจะเขียนบทความคุณภาพ และสร้าง Link บนหน้าเว็บเหล่านี้ โอกาสที่บทความหรือหน้าที่เราสร้าง Backlink นั้น จะ Index ก็อาจใช้เวลา 3 – 4 สัปดาห์เลยทีเดียว หรือ บางเว็บ อาจใช้เวลา 1 – 2 เดือน กว่าที่จะ Index บนผลการค้นหา Google แม้ว่าบางครั้ง เราจะเอาหน้าย่อยที่เราเขียนบทความคุณภาพ ทำการโพสต์ใน Google Plus , Facebook , Twitter หรือแม้แต่ Blogger ให้ Googlebots วิ่งเข้าไปอ่านให้เร็วยิ่งขึ้นก็ตาม เมื่อมันมีการอินเด็กซ์ช้า ก็ส่งผลให้เว็บของเราได้คะแนนจากแบ็คลิงค์ที่เราสร้างช้าตามไปด้วยครับ แต่ในทางกลับกัน หากเราเขียนบทความคุณภาพ บนเว็บคุณภาพ ที่มีคนเข้าอ่านบทความจำนวนมากๆ มีสมาชิกเข้าเข้าเว็บจำนวนมากๆ เป็นเว็บใหญ่ เว็บดัง มี Googlebots เข้ามาเก็บข้อมูลอยู่ตลอดเวลา Backlink ที่เราสร้างขึ้น ก็จะ Index เร็วมาก อาจะใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมง ก็อินเด็กซ์บนผลการค้นหาแล้ว ทำให้เว็บของเราได้คะแนนลิงค์เร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม คะแนนลิงค์ที่แท้จริง แม้ว่าจะมีการ Index แล้ว ก็อาจใช้เวลา 1 – 2 สัปดาห์ กว่าที่ Google จะนับคะแนนลิงค์จริงๆ แล้วไปแสดงค่าใน Google Search Console อันนี้ก็เป็นอีกเหตุผลว่าการทำ SEO ยุคนี้ จะทำอันดับได้ช้าลง และ Google ก็มุ่งเน้นคุณภาพมากยิ่งขึ้น ใช้เวลาในการคัดกรองคุณภาพมากยิ่งขึ้น ดังนั้น คำว่า การทำงานแบบ Real-Time มันไม่ได้หมายถึง Google จะคำนวณคะแนนลิงค์แบบเรียลไทม์ แต่ Google จะตรวจสอบปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่ออันดับแบบเรียลไทม์ ค่าอื่นๆ เช่น จำนวนคนเข้าเว็บ จำนวนคนออนไลน์ภายในเว็บ จำนวนการค้นหา และคลิกเข้าเว็บ เป็นต้น ดังนั้น หากต้องการสร้าง Link เพื่อทำอันดับ ก็ต้องอาศัยเวลา และการสร้างลิงค์คุณภาพอย่างสม่ำเสมอครับ
สรุป Link ยังทำอันดับได้ดี เร็ว และแรง เพียงแต่ จะเห็นผลชัดเจน กับ Keyword ที่มี ศัพท์เทคนิค หรือ รายละเอียด เกี่ยวกับ สินค้า รุ่น ครับ ถ้าเราสร้าง Backlink แล้วใส่ ศัพท์เฉพาะ รุ่น หรือแม้แต่ Brand , Web ที่เกี่ยวกับ Keyword นั้นๆ จะเห็นผลเร็วมาก แต่บาง Keyword ไม่ค่อยมี Detail หรือ การอ้างอิง ด้วย Word เยอะ จึงเห็นการเปลี่ยนแปลง จากการสร้าง Link ช้า ถ้าเป็น Keyword ที่มี Detail รายละเอียด เยอะ มีศัพท์ เทคนิค เยอะ อัด Link ทีเดียว ก็ขึ้นหน้าแรก Keyword ปานกลางภายใน 1 สัปดาห์ ได้ครับ
credit: http://www.cmseogroup.com
—
1. วิธีการทำอย่างนี้ ทำให้อันดับเราดีขึ้นใช่ไหมครับ
*** ดีขึ้นเฉพาะคีย์ที่ไม่แข็งเห็นผลไวดี***
2. การทำ anchor text link ทุก tier ต้องทำ anchor text link เดียวกันหรือเปล่าครับ
เช่น ถ้าทำ คำว่า “seo” ต้องทำเป็น anchor text link “seo” แบบเดียวกัน ทั้ง tier 2 และ tier 3 ใช่หรือเปล่าครับ
***ไม่จำเป็นเอาคีย์ที่ใกล้เคียงกันก็ได้ อารมณ์เหมือนคนพูดเรื่องเดียวกันแต่ไม่จำเป็นต้องพูดเหมือนกัน สุดท้ายแล้วเนื้อความสำคัญก็เหมือนกันอยู่ดี
3. การทำแบบนี้มันเป็นสายดำ หรือเปล่าครับ
***ถ้าทำมากไปก็ใช่***
4. ถ้าเป็นเว็บเทาหรือดำอัดเข้าไปเลยไม่ต้องกังวล ทำเว็บพวกนี้ต้องกล้าเสี่ยงกล้าลองไม่ดังก็ดับมีแค่ 2 อย่าง ถ้าทุนหนาหน่อยก็ทำแบนเนอร์กับเว็บเทาด้วยกัน