• December 29, 2020

    บิฟิโดแบคทีเรียม ลองกัม มีอยู่ใน ยี่ห้อ Combif AR 10แคปซูล / 160

    โปรไบโอติค กับการรักษา ท้องผูก
    โปรไบโอติค มีการใช้กันอย่างแพร่หลายมานานแล้วในต่างประเทศ ซึ่งโปรไบโอติคที่มีการนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์สุขภาพทั่วไปมี 2 กลุ่มได้แก่
    เชื้อกลุ่มแลคโตบาซิลลัส และกลุ่มบิฟิโดแบคทีเรีย
    เชื้อในกลุ่มบิฟิโดแบคทีเรียมีบทบาทมาก เพราะเป็นเชื้อธรรมชาติที่พบอยู่ในลำไส้ของคนเรา โดยเชื้อสายพันธุ์ที่โดดเด่นในกลุ่มนี้คือ เชื้อบิฟิโดแบคทีเรียม ลองกัม (BB536) เชื้อนี้เป็นสายพันธุ์ที่ตรวจแยกได้จากทางเดินอาหารของเด็กทารกที่มีสุขภาพดีที่ขณะยังรับประทานน้ำนมจากแม่ และเป็นโปรไบโอติคสายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมที่สุดในญี่ปุ่น
    เชื้อบิฟิโดแบคทีเรียม ลองกัม (BB536) ช่วยป้องกันและลดภาวะท้องผูกโดยช่วยปรับปรุงความสามารถในการเคลื่อนไหวของลําไส้ ช่วยเพิ่มความถี่ของการเคล่ือนไหวของลําไส้และเพิ่มความนุ่มของอุจจาระชjวยให้ขับถ่ายได้คล่องขึ้น

    การเลือกทานโปรไบโอติคให้ได้ประโยชน์จริงๆ
    มีโปรไบโอติคสายพันธ์ต่างๆ ในรูปแบบต่างๆ เช่น นมเปรี้ยว หรือโยเกิร์ต แต่ก็ใช่ว่า จุลินทรีย์โปรไบโอติคเหล่านั้นจะสามารถสร้างประโยชน์ให้ร่างกายของเราได้ทั้งหมด ดังนั้นการเลือกบริโภคผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์โปรไบโอติคจึงต้องคำนึงถึงคุณสมบัติดังนี้
    1)    ได้รับการรับรองจากสำนักงานอาหารและยาว่าปลอดภัยที่จะใช้ในมนุษย์
    2)    มีความคงตัวและทนต่อกรดในกระเพาะอาหารได้ เพราะไม่เช่นนั้นการรับประทานจุลินทรีย์ก็จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เนื่องจากจุลินทรีย์จะถูกกรดในกระเพาะทำลายจนไม่สามารถผ่านไปถึงลำไส้
    3)    มีปริมาณจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตในปริมาณที่มากพอที่จะปรับสมดุลย์ในลำไส้ได้
    4)    ต้องมีพรีไบโอติกหรืออาหารของโปรไบโอติค ซึ่งจะช่วยเสริมฤทธิ์กับโปรไบโอติก ทำให้เชื้อเจริญเติบโตที่ลำไส้ได้รวดเร็วขึ้น

    ในปัจจุบันมีโปรไบโอติคที่มีเชื้อบิฟิโดแบคทีเรียม ลองกัม (BB536) ในปริมาณที่มากเพียงพอพร้อมด้วยพรีไบโอติคบรรจุในแคปซูล ที่ผ่านการผลิตและบรรจุหีบห่อเป็นอย่างดี จึงทำให้เชื้อโปรไบติดสามารถไปถึงลำไส้ใหญ่ เพื่อทำหน้าที่ปรับสมดุลย์ระบบขับถ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ วางจำหน่ายให้ผู้ที่มีปัญหาท้องผูกและระบบขับถ่ายไช้เป็นทางเลือกใหม่ที่ยั่งยืนกว่าในการดูแลสุขภาพ

    ท้องผูก
    คนไทยมีอาการท้องผูกและป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่กันมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการบริโภค รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยและดื่มน้ำน้อยมาก ซึ่งอาการท้องผูกคือการทีอุจาระรวมตัวกันแน่นแข็งอยู่ในลำไส้ใหญ่ และอยู่ในลำไส้เป็นเวลานาน ทำให้ขับถ่ายลำบากและเพิ่มอัตรการสะสมสารพิษในร่างกาย
    ปกติลำไส้ใหญ่จะมีการบีบตัวประมาณ 4-6 รอบต่อวัน มักพบในช่วงเช้าหรือหลังรับประทานอาหาร ซึ่งคนที่มีอาการท้องผูกมักมีการบีบตัวของลำไส้ใหญ่น้อยกว่านี้ และถ้าอุจจาระอยู่ในลำไส้ใหญ่นานมากกว่า 12 ชั่วโมง ก็จะเกิดอาการบูดเน่าของอาหาร และเริ่มเกิดสารพิษขึ้นในร่างกาย รวมทั้งสารก่อภูมิแพ้ และสารก่อมะเร็ง ซึ่งเมื่อร่างกายดูดซึมน้ำเข้าร่างกาย สารพิษต่างๆ ก็จะถูกดูดซึมเข้าร่างกายด้วย เข้าสู่กระแสเลือดและหมุนเวียนอยู่ในร่างกาย ผลคือทำให้เกิดอาการตามมาดังนี้
    –  เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ มีไข้ต่ำๆ
    – ความจำไม่ดี นอนไม่หลับ ซึมเศร้า หงุดหงิดง่าย
    – ปวดศีรษะ มึนเวียนศีรษะ
    – กลิ่นปากเหม็นที่ไม่ได่เกิดจากโรคในช่องปาก และกลิ่นตัวแรง
    – ผิวพรรณหม่นหมอง เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง ผื่นคันตามตัว เป็นลมพิษง่าย เป็นสิวเรื้อรัง
    – ภูมิแพ้ หอบหืด
    – การสะสมของเสียในลำไส้ใหญ่นานๆ จะขัดขวางการดูดซึมเกลือแร่และวิตามินเข้าสู่ร่างกาย
    –  โรคริดสีดวงทวาร และมะเร็งลำไส้

    ยาระบาย ไม่ใช่คำตอบที่ดีของการแก้ ท้องผูก
    ยาระบาย ที่นิยมซื้อใช้กันส่วนใหญ่ในบ้านเรา เป็นยากลุ่มกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ใหญ่ (stimulant laxatives) ขนาดการใช้ยาระบายกลุ่มนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการท้องผูก และการตอบสนองของผู้ป่วย และไม่ควรใช้บรรเทาอาการท้องผูกติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน เพราะเมื่อใช้ยาในกลุ่มนี้ต่อเนื่องไปนานๆ จะทำให้เกิดภาวะลำไส้เคยชินต่อยาระบาย ร่างกายไม่สามารถขับถ่ายได้เอง และจะดื้อยามากขึ้นเรื่อยๆ จนต้องเพิ่มขนาดยามากขึ้นส่งผล ลำไส้ทำงานไม่ปกติยากต่อการแก้ไข นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะปวดท้อง ระดับเกลือแร่เสียสมดุล ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เวียนศีรษะได้อีกด้วย



เวอไนน์ไอคอร์ส

ประหยัดเวลากว่า 100 เท่า!






เวอไนน์เว็บไซต์⚡️
สร้างเว็บไซต์ ดูแลเว็บไซต์

Categories


Uncategorized