• September 4, 2017

    4G คืออะไร
    จากสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น สหรัฐอเมริกา
    ถ้าหากท่านผู้อ่านใช้มือถืออัจฉริยะในเมืองไทย แน่นอนคงจะเอาทันใจไม่ได้เพราะระบบเครือข่ายในประเทศไทยเรายังไม่ถึงรุ่น 3 หรือ 3G กันเลย แต่ในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น และยุโรป วิ่งตามหา 4G กันในหลายเมืองใหญ่แล้ว แต่ก็ยังมีบางค่าย เช่น เอทีแอนด์ที อยากจะทำให้ 3Gสมบูรณ์แบบขึ้นมากกว่า เพราะ 4Gจะต้องมีอะไรที่ต้องปรับปรุงอีกเยอะ เพราะขณะนี้ส่วนใหญ่ในหลายเมืองแม้จะมี 4Gใช้ แต่ก็ยังเป็นการทดสอบเพื่อปรับปรุงการใช้งานไปด้วย

    4G คืออะไร 

    4Gเป็นคำเรียกทั่วไปสำหรับระบบสื่อสารโทรคมนาคมแบบเซลลูลาร์ยุคที่ 4 ซึ่งจะให้ความเร็วในการสื่อสารทุกเรื่องมากกว่าแบบ 3Gถึง 10 เท่า นั่นก็หมายความว่าโทรศัพท์อัจฉริยะที่ใช้กันอยู่จะสามารถส่งข้อมูลได้เหมือน คอมพิวเตอร์พีซีกันเลย ซึ่งจะทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากสื่อประสมและการเล่นเกมทางอินเทอร์เน็ตได้ อย่างสะดวกสบายหลายรูปแบบชัดเจนเกือบเหมือนทีวีเลยทีเดียว

    4G มีเทคโนโลยีอะไรบ้าง 

    การสร้างเทคโนโลยีเพื่อเข้าสู่ยุค 4G ในปัจจุบันมี 2 ค่าย คือ แอลทีอี (LTE) และไวแม็กซ์ (Wimax) เทคโนโลยีทั้งสองเป็นคนละแบบกับจีเอสเอ็มและซีดีเอ็มเอไม่เกี่ยวข้องกัน บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนเทคโนโลยี แอลทีอี คือ บริษัทเอทีแอนด์ที และบริษัทเวริซอน ส่วนไวแม็กซ์ คือ บริษัทสปริ้นท์

    การสร้างเทคโนโลยีทั้งแอลทีอีและไวแม็กซ์แตกต่างกันเลยเป็นคนละมาตรฐาน ทางสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ หรือ ไอทียู เป็นผู้กำหนดสร้างมาตรฐานเพื่อไวแม็กซ์ โดยมีสปริ้นท์สนับสนุน ซึ่งจริง ๆ ก็คือ ส่วนหนึ่งของ 3Gนั่นเอง

    ในขณะที่เทคโนโลยีแอลทีอี นั้นมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมบรอดแบรนด์ไร้สายซึ่งเป็นไปตามมาตรฐาน ไอทริ้ปเปิ้ลอี (IEEE) ไวแม็กซ์จะต้องมีการสร้างเครือข่ายใหม่ ส่วนแอลทีอี สามารถต่อยอดจากเครือข่าย 3G ของซีดีเอ็มเอ/เอ็ชเอสพีเอ-CDMA/HSPA ได้

    4G เร็วแค่ไหน?

    ในทางทฤษฎีเทคโนโลยีการสื่อสารรุ่นที่ 3 หรือ 3G สามารถถ่ายข้อมูลได้ 2 เมกะบิตต่อวินาที แต่ในความเป็นจริงได้ความเร็วแค่ 500 กิโลบิตต่อวินาทีจนถึง 1.5 เมกะบิตต่อวินาทีเท่านั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับตัวนำสื่อ สถานที่ตั้งเสาส่งสัญญาณ ความหนาแน่นของการใช้งานและอื่น ๆ ส่วน 4G เล่นเกมได้เลย
    ในการทดสอบปัจจุบันทั้ง แอลทีอี และไวแม็กซ์ ยังมีความเร็วยังไม่ถึงมาตรฐาน โดยเฉพาะความเร็วอยู่ในระหว่าง 2 เมกะบิตต่อวินาทีจนถึง 5 เมกะบิตต่อวินาที และการดาวน์โหลดอยู่ระหว่าง 5 เมกะบิตต่อวินาที ถึง 12 เมกะบิตต่อวินาที เพราะจินตนาการดูว่าใน เครือข่ายทั้งโลกมีอุปกรณ์นับล้าน ๆ ชิ้นที่ใช้งาน มีการโหลดวิดีโอ คลิปดัง ๆ ทุกที่ การคุยกันทาง วิดีโอ การดูภาพยนตร์ การอัพโหลดการแสดง ใหม่ ๆ สารพัดที่จะทำให้ความเร็วลดลงได้มากไม่เป็นไปตามทฤษฎี

    อยากจะใช้ 4G หาได้ที่ไหน ?

    ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามี 4G ใช้กันใน 30 เมืองใหญ่ เช่น ซีแอตเติล บัลติมอร์ ชิคาโก และดัลลัส เป็นต้นซึ่งเป็นบริการจากบริษัท สปริ้นท์ แม้ว่าเมืองขนาดใหญ่แบบ ซานฟรานซิสโก และนิวยอร์ก จะไม่อยู่ในชื่อเมืองเหล่านี้ สปริ้นท์ได้บอกว่า ปลายปีนี้ได้ใช้แน่ใน 36 เมือง ส่วนประเทศอื่น ๆ ที่จะมี 4G ใช้ก็เช่น แคนาดา ญี่ปุ่น นอร์เวย์ เกาหลีใต้ แอฟริกาใต้ สวีเดน อาร์เมเนียและฟินแลนด์

    ต้องมีมือถือชนิดใหม่สำหรับ 4Gหรือไม่

    แน่นอนจะต้องมีโทรศัพท์มือถือแบบอัจฉริยะ สำหรับโทรศัพท์อัจฉริยะรุ่นแรกคือ เอชทีซี อีโว (HTC EVo) ซึ่ง ทำงานโดยใช้ลักษณะการออกแบบกูเกิล ที่ ชื่อ แอนดรอยด์ (Android) หน้าจอแบบระบบสัมผัสขนาด 4.3 นิ้ว กล้อง 2 ตัว มีระบบนำทางด้วยจีพีเอส แสดงผลด้วย เอชดีเอ็มไอ (HDMI) และเป็นระบบเคลื่อนที่แบบฮอตสปอต (Hot-Spot)

    สนนราคาคือประมาณ 6,500 บาท ต่อเครื่อง โดยมีสัญญาประกัน 2 ปี สปริ้นท์จะเก็บค่าบริการต่างหากอีก 320 บาทต่อเดือน รวมทั้งบริการด้านข้อมูลมาตรฐานตามรายการที่จะมีให้ด้วยระบบความเร็ว 4G ถ้าหากบริการที่ใช้งานมือถืออยู่ไม่มีระบบ 4G ก็ยังจะสามารถใช้ 3G ได้อยู่แล้ว ที่ประเทศเกาหลีใต้ บริษัท ซัมซุง ได้สร้างโทรศัพท์มือถือแบบ 4G ซึ่ง ใช้ได้เหมือนพีซี ที่เรียกว่า เมโทรพีซีส์ (Metro PCS) มีชื่อเรียกว่า เอสซีเอช-อาร์ 900 (SCH-r 900) โดยใช้โปรเซสเซอร์ความเร็ว 624 เมกะเฮิรตซ์ แรม 128 เมกะบิต จอขนาด 3.2 นิ้ว และทำงานด้วยระบบวินโดว์สโมบาย 6.1

    ขณะนี้มีไอโฟน 3G ไอโฟน 3G กว่า ๆ จะมีโอโฟน 4G รุ่นต่อจากนี้ไปหรือไม่

    บริษัท แอปเปิ้ล จะทำไอโฟนรุ่น 4G แน่นอนในระบบอัจฉริยะ แต่การเชื่อมต่อสัญญาณในเครือข่าย 4G นั้น ยังเป็นของบริษัท สปริ้นท์ เพราะฉะนั้นแอปเปิ้ลคงจะต้องสร้างโทรศัพท์เพื่อใช้กับสปริ้นท์โดยเฉพาะ คงหลีกเลี่ยงไม่ได้

    บริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกามีแผน 4G อย่างไรบ้าง 

    บริษัท AT&T มีแผนที่จะเริ่มเครือข่าย 4G ในปีนี้ โดยใช้เทคโนโลยี แอลทีอี กว่าจะเริ่มใช้งานได้คงจะเป็นปีหน้า 2011 แต่คงจะต้องแก้ปัญหาในการใช้งานจริงอีกพอสมควร บริษัท เวริซอน ได้ทดสอบบริการเครือข่าย 4G ในเมืองบอสตัน และซีแอตเติล และมีแผนที่จะเริ่มบริการ ในเชิงพาณิชย์ในปีนี้ประมาณ 30 เมือง ซึ่งจะคลุมผู้ใช้ได้ถึง 100 ล้านคนและในปี ค.ศ. 2013 เวริซอนหวังว่าจะให้บริการ 4G ในเชิงพาณิชย์ได้ทั่วทั้งประเทศสหรัฐอเมริกา บริษัท สปริ้นท์ เป็นผู้นำ 4G ที่มีความพร้อมด้านเครือข่ายใน 36 หัวเมือง ในปลายปีนี้ เมืองทั้งหมดเหล่านี้จะใช้ระบบเครือข่าย 4G ของสปริ้นท์ บริษัท ทีโมบาย กำลังทำเรื่อง 3.5 G หรือเอชเอส พีเอพลัส (HSPA+) อยู่ ส่วน 4G ยังไม่คิดในขณะนี้ บริษัท เมโทรพีซี ได้ทำโทรศัพท์ 4G ด้วยเทคโนโลยีแอลทีอีร่วมกับ บริษัท ซัมซุง แล้วและคงจะเริ่มระบบ 4G ที่ลาสเวกัส ในปีนี้

    4G มีประวัติความเป็นมาอย่างไร 

    ระบบเซลลูลาร์ ได้มีวิวัฒนาการออกมาเป็น 4 ยุคด้วยกัน

    ยุคแรกหรือยุคที่ หนึ่ง หรือ 1G เป็นเทคโนโลยี อนาล็อก (Analog) รับ-ส่งสัญญาณเสียงได้เท่านั้น

    ยุค ที่ 2 หรือ 2G จะเริ่มเข้าสู่ยุค ดิจิทัลทำให้สามารถส่งข้อความต่าง ๆ ได้ด้วย แม้ว่าจะยังใช้โทรศัพท์มือถือด้วยสัญญาณเสียงกันอยู่ ในยุคที่ 2 นี้ โทรศัพท์มือถือมี 2 มาตรฐานคือ จีเอสเอ็ม (GSM) ซึ่งเป็นของบริษัท ที-โมบาย เอทีแอนด์ที และอีกหลายประเทศในโลก อีกมาตรฐานหนึ่งคือ ซีดีเอ็มเอ (CDMA) ซึ่งเป็นของบริษัทเวริซอนและสปรินท์ ทั้ง 2 ระบบมีความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลโดยเฉลี่ย 9.6 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps) ในเครือข่ายของ 2 จี ซึ่งก็เหมือนในระบบโมเด็มต่อสาย ในช่วงปี ค.ศ. 1990-1999 นั่นเอง

    ยุคที่ 2.5 หรือ 2.5G เกิดจากค่ายจีเอสเอ็ม สร้างมาตรฐานแบบ จีพีอาร์เอส (GPRS) ขึ้นมา ซึ่งทำให้การส่งถ่ายข้อมูลได้ดีขึ้น จีพีอาร์เอสได้วิวัฒนาการมาเป็นเครือข่ายที่เรียกว่า เอดจ์ (EDGE) ซึ่งสามารถให้ความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลได้ถึง 400 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งมือถือปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่ ส่วนซีดีเอ็มเอ (CDMA) นั้นก็คือ 1 เอ็กซ์อาร์ทีที (1 XRTT) หรือ 1 เอ็กซ์ (1X) นั่นเอง แต่ในการใช้งานจริงจะเรียกว่า อีวีดีโอ (EVDO) ซึ่งมีความเร็วในการดาวน์โหลดข้อมูลตั้งแต่ 600 กิโลบิตต่อวินาที จนถึง 1.4 เมกะบิต ต่อวินาที (Mbps)

    เริ่มยุค 3Gนั้น ก็มีการถกเถียงกันมากว่าจะต้องเป็นเทคโนโลยีอย่างไร ในที่สุดก็ใช้ความเร็วเป็นหลักคือจะต้องเป็น 2 เมกะบิต ต่อวินาที ทั้งสปรินท์และเวริซอน กำหนดว่ายุค 3G เป็นเทคโนโลยี อีวีดีโอ (EVDO) ส่วนเอทีแอนด์ทีและ ที-โมบายเป็นเอชเอสดีพีเอ (HSDPA) ส่วน 3Gกว่า ๆ นั้นก็จะเป็น เอชเอสดีพีเอพลัส (HSDPA+) หรือเทอร์โบ 3G (Turbo 3 G) ซึ่งสามารถ ดาวน์โหลดด้วยความเร็วถึง 14 เมกะบิตต่อวินาที ต่อจากนี้ก็คือยุค 4G

    4G เป็นอย่างไร ใช้มาตรฐานอะไร แต่ละมาตรฐานต่างกันอย่างไร 
    ยุค 4G มีเทคโนโลยีอยู่ 2 แบบ มาตรฐานที่ใช้กันคือ แอลทีอี (LTE) หรือ Long Term Evolution ซึ่งเป็นวิวัฒนาการ ที่ถูกปรับปรุงต่อยอดขึ้นไปบนเครือข่าย อินเทอร์เน็ตจากทุกไอพี ซึ่งอยู่บนโปรโตคอล เดียวกัน หรือ เรียกว่า TCP/IP โดยกลุ่มที่เรียกว่า โครงการพันธมิตรยุคที่ 3 ส่วนอีกแบบมาตรฐาน คือ ไวแมกซ์ (Wimax) ทั้ง 2 เทคโนโลยีนี้ใช้หลักการเดียวกันคือ โอเอฟ ดีเอ็มเอ (OFDMA) ซึ่งเป็นแนวคิดทฤษฎีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960 วิธีการก็คือ การแบ่งช่วงคลื่นความถี่ให้สามารถส่งสัญญาณทับซ้อนกันหลายครั้งได้ในช่วง สัญญาณเดียวกัน ซึ่งจะสามารถจุข้อมูลได้มากขึ้นทีเดียวหลายเท่าตัว เหมือนกับมีตัวนำส่งสัญญาณครั้งเดียวได้หลายตัวนำ

    ไวแมกซ์ส่งข้อมูลด้วยช่องสัญญาณกว้างโดย 2 ใน 3 ใช้ดาวน์โหลด ส่วน 1 ใน 3 เป็นอัพโหลด แอลทีอีแบ่งช่องความถี่ค่อนข้างสมดุล ซึ่งทำให้ความเร็วในการอัพโหลดและดาวน์โหลดพอ ๆ กัน

    ถ้าหากต้องการ 4G ทันทีเลย อาจจะต้องใช้ไวแมกซ์ซึ่งมาตรฐานพัฒนาโดยสถาบัน IEEE และราคาถูกกว่า แต่แอลทีอี เพิ่งจะเริ่มต้นแต่รับรองได้ว่าระยะยาวในอนาคตจะเป็นแอลทีอีมากกว่าแน่

    ระบบ GPRS คืออะไร / เทคโนโลยี GPRS หมายถึง / ความเร็ว GPRS

    เทคโนโลยี GPRS พัฒนามาจากอะไร ระบบ GPRS คืออะไร และมี ความเร็ว เท่าไร
    ใน ช่วงเริ่มต้นของระบบ GSM ( อาจเรียกว่าช่วง 1G ) โทรศัพท์มือถือที่ใช้จะเป็นระบบ Analog ซึ่งไม่สามารถใช้รับส่ง Data อะไรได้เลย สามารถใช้โทรศัพท์พูดคุย ( Voice ) ได้อย่างเดียว ซึ่งต่อมาได้พัฒนามาเป็นระบบ 2G

    ระบบ 2G จะใช้การรับส่งข้อมูลเป็นแบบ Digital ซึ่งทำให้สามารถรับส่งข้อความ SMS จากเครื่องมือถือได้ เรียกได้ว่าเป็นยุคเริ่มต้นของการใช้โทรศัพท์มือถือ ในการรับส่ง Data สำหรับท่านที่อยู่ในช่วงนี้น่าจะจำกันได้ว่าโทรศัพท์มือถือ จะมีราคาถูกลงมาก จากเครื่องละเป็นแสน เหลือแค่ 2-30,000 บาท

    ต่อมา เนื่องจากมีการใช้โทรศัพท์มือถือ รับส่ง Data มากขึ้น เช่นการ download ringtone รูปภาพ ทำให้มีการพัฒนาระบบ เพื่อให้รองรับการรับส่ง package ข้อมูลจำนวนมากขึ้น ระบบ 2.5Gจึงได้ถูกพัฒนาขึ้น เป็นต้นกำเนิดของระบบ GPRS โดย GPRS นี้จะสามารถเชื่อต่อกับ Operator เพื่อรับส่ง ข้อมูล Date ได้ที่ประมาณ 50Kbps ถ้ายังจำกันได้ ช่วงนี้การรับส่ง MMS จะเริ่มเป็นที่นิยม เพราะระบบ GPRS สามารถรองรับการรับส่ง Data จำนวนมากขึ้นได้

    ที่มา aircardshop.com/AIRCARD-NETSIM-EDGE-3G-AIS-DTAC-4-6.html

    ระบบ EDGE คืออะไร / เทคโนโลยี EDGE หมายถึง / ความเร็ว EDGE

    เทคโนโลยี EDGE พัฒนามาจากอะไร ระบบ EDGE คืออะไร และมี ความเร็ว เท่าไร
    ระบบ EDGE หรือที่เรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า 2.75G ซึ่งเป็นระบบที่ออกมาขั้นกลางระหว่างระบบ 2G กับ 3G ซึ่งเป็นระบบที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน

    โดย ระบบ EDGE นั้นจะพัฒนาจาก ระบบ GPRS ให้ความสามารถรับส่งข้อมูลต่อ slot สูงขึ้น โดยถ้าพัฒนากันจริงๆ สามารถรับส่งข้อมูลได้สูงสุดถึง 473.6Kbps แต่สำหรับเมืองไทยนั้น ความเร็วสูงสุดของ EDGE ที่ Operator ปล่อยออกมานั้นจะอยู่ที่ 220 – 236.8Kbps เท่านั้น ( ต่อให้โทรศัพท์มือถือ หรือ AirCard เครื่องไหนที่สามารถรับสัญญาณ EDGE ได้ 473.6 แต่ connect จริงก็จะไม่เกิน 220Kbps เท่าที่ Operator ปล่อยออกมา )

    ที่มา aircardshop.com/AIRCARD-NETSIM-EDGE-3G-AIS-DTAC-4-7.html



เวอไนน์ไอคอร์ส

ประหยัดเวลากว่า 100 เท่า!






เวอไนน์เว็บไซต์⚡️
สร้างเว็บไซต์ ดูแลเว็บไซต์

Categories