ระบบร้านค้า woo-commerce (ทำเว็บขายของแบบมาตรฐานสากล)
(ตัวมันเองเป็น plugin ที่ใช้ร่วมกัน ระบบ CMS WordPress)
A.ฟังก์ชั่นพื้นฐาน
B.พิเศษ (ที่ต้องอาศัยปลักอินเพิ่มเติม หรือเขียนโค้ดเพิ่มเข้าไป)
1. ระบบฟรี (เป็น Open sourceไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ)
โดยการทำงาน เชื่อมกับ WordPress ได้ทันที สำหรับคนที่ต้องการความสามารถทั่วไปของเว็บ Ecommerce ตอบโจทย์
2.ระบบจัดการสมาชิก
มันมีมาใน WordPress แล้ว แต่ที่เพิ่มขึ้นมา คือ เมื่อสมาชิกเว็บของเราซื้อสินค้าเรา เขาจะกลายเป็น สมาชิกทันที โดยอัตโนมัติ และแม้แต่บางครั้งร้านออนไลน์ของเรามีคนดูแลหลายคน เราก็ตั้งค่าให้เค้าเป็น Shop Managerได้ นั่นคือ สามารถสร้างสิทธิ์ในการเข้าถึงของแต่ละคนได้
3.ระบบตะกร้าสินค้าแบบมาตรฐานสากล
เวลาจะซื้อของเปิดดูหมวดหมู่ > อ่านรายละเอียด > กด add to cart > กรอกรายละเอียด > ชำระเงิน
กระบวนการทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนสากล และ Woocommerce มีระบบนี้อยู่แล้ว
4.ระบบทำคูปองส่วนลด
จัดโปรโมชั่น เช่นให้ส่วนลดพิเศษสำหรับวันพิเศษต่างๆ เทศกาล ก็สามารถทำได้ด้วยการสร้างคูปองส่วนลด
โดยเขียนโค้ดคูปองเองได้เลย พร้อมระบุได้ด้วยว่า
– จะใช้งานได้กี่ครั้ง
– ใช้ได้กี่คน
– ใช้ได้ตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน
– ส่วนลดเป็นประเภทลดต่อสินค้า
– หรือลดทั้งหมด
– ลดแบบเป็นบาท หรือลดแบบ %
..
5.ระบบ Stock สินค้า
การจัดการคลังสินค้า
สมมติว่าของชิ้นนี้มีเพียง 10 ตัวในร้าน เมื่อคนซื้อสินค้าและจ่ายเงินเรียบร้อย ระบบจะทำการตัดจำนวนออกไป
พอมันลดไปเรื่อยๆจนถึงจุดจุดหนึ่ง มันก็จะแจ้งเตือนเจ้าของเว็บให้ทราบว่าของชิ้นนี้ขายดี และใกล้จะหมดแล้ว ไปหามาขายเพิ่มด่วนๆ
เช่น ถ้าหากเราตั้งค่าไว้ว่าถ้าเหลือในสตอคเพียง 3 ตัวให้แจ้งเตือน พอสินค้าเหลือเพียง 3ตัวมันก็จะส่งอีเมลมาให้เราเลย
6.ระบบจัดการ ORDER
เวลาลูกค้าสั่งซื้อของ จะมี ORDER เข้ามาในระบบหลังบ้าน
แต่ละออเดอร์ เราก็ยังสามารถตั้งค่าได้ว่า ออเดอร์นี้จ่ายเงินไปหรือยัง หรือไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว อยู่ในสถานไหน ขั้นตอนไหน
เช่น ยังไม่จ่ายเงิน จ่ายเงินแล้ว กำลังดำเนินการ สั่งซื้อเสร็จสิ้น สถานะยกเลิกรายการสั่งซื้อ คืนเงิน ในกรณีที่ออเดอร์นั้นมีการสั่งสินค้าผิด หรือต้องการแก้ไข้ เราก็สามารถแก้ไขได้ด้วย
7.ระบบส่งข้อความหาลูกค้าแต่ละคน
เมื่อเราได้ออเดอร์จากลูกค้า ระบบมองว่าบางทีเราอาจอยากจะส่งข้อความบางอย่างไปยังลูกค้าผ่านระบบเว็บไซต์ของเรา
เช่น บอกว่า ได้รับเงินแล้วนะ ตอนนี้กำลังจัดส่ง หมายเลข EMS ฯลฯ
ตรงนี้เราเรียกว่า Note ซึ่งสามารถพิมพ์ ในออเดอร์แต่ละอันได้ เมื่อลูกค้าเปิดไปหน้าโพรไฟล์ของเค้า ก็จะเห็นข้อความที่เราส่งให้
8.ระบบติดตามสถานะการสั่งซื้อ
ทุกๆครั้งที่เราอัพเดทสถานะการสั่งซื้อ เช่น จากรอจ่ายเงิน เป็นได้เงินแล้ว ระบบจะแจ้งเตือนไปยังลูกค้าด้วย เช่นเดียวกัน ลูกค้าสามารถดูรายละเอียดการสั่งซื้อ หรือสถานะการสั่งซื้อได้ผ่านหน้า Profile ของตัวเอง
9.ระบบ Gallery สำหรับสินค้า
Woocommerce มีระบบ Gallery ใส่รูปสินค้าได้หลายๆตัว
10.ระบบคำนวณภาษี
หากสินค้าที่ขายมีการเพิ่มภาษีสินค้าด้วย ตั้งค่าได้ว่าจะเก็บภาษีไปเท่าไหร่
11. รองรับการจ่ายเงินหลายประเภท
แบบพื้นฐาน ที่มีมาในระบบ
– จ่ายผ่าน Paypal
– บัตรเครดิต (พ่วงกับ Paypal)
– จ่ายผ่านเช็ค
– จ่ายแบบให้ไปโอนเงินเข้าแบงค์แล้วโทรมาแจ้ง หรือ แจ้งทางเมล ไลน์ fb ฯลฯ
(รูปแบบอื่นๆ ต้องติดตั้งเพิ่ม เช่น ระบบหักผ่านบัตรเครดิต ซึ่งมีค่าธรรมเนียม เช่น 3.65% )
12.ขายสินค้าที่มีตัวเลือกได้
เช่น ขายเสื้อ
เสื้อเรามี Options ให้เค้าเลือกได้ว่าอยากจะได้แบบไหน สมมติ เสื้อคอกลม เราสามารถให้ลูกค้าเลือกได้ว่าคอกลม ไซส์ไหน สีอะไร ฯลฯ
13.ระบบรายงานผล
รายงานผลของ Woocommerce ละเอียดมาก
– ขายของได้กี่บาทแล้ว
– ขายดีสุดช่วงไหน
– ใครซื้อเยอะสุด
– ชิ้นไหนขายดี
– สามารถระบุ “ช่วงเวลา” ในการดูรายได้ด้วย ไตรมาสแรกได้เท่าไหร่ ไตรมาสสองได้เท่าไหร่ ฯลฯ
14.ระบบคิดค่าขนส่ง
มีให้เลือกหลายแบบ สำหรับ shipping
– International Flat Rate
– Local Delivery
– Local Pickup
– Flat Rate Shipping
– Free Shipping
อ่านเพิ่ม
https://docs.woothemes.com/documentation/plugins/woocommerce/getting-started/shipping/core-shipping-options/
ติดตั้งเพิ่มได้แล้ว
– ระบบ wishlist
– ระบบ compare
– ระบบ filter
– ระบบ review สินค้า จากผู้ซื้อ
– ระบบ relate post สินค้า ที่คล้ายกัน
ข้อจำกัด
ด้วยความที่ Woocommerce ออกแบบมาเพื่อ “ร้านค้าทั่วๆไป” ดังนั้นถ้าร้านค้าของใครมีความ “พิเศษ” เพิ่มขึ้นมา ก็อาจจะต้องอาศัยปลั๊กอินเพิ่ม
1.ไม่มีระบบพิมพ์ใบสั่งซื้อ
บางร้านต้องการพิมพ์ใบสั่งซื้อ หรืออยากจะทำใบสั่งซื้อเป็น PDF แบบนี้
แก้ไขได้ด้วยการติดตั้งปลักอิน
http://codecanyon.net/item/woocommerce-pdf-invoice/ (ซื้อ)
ระบบ shipping อาจจะยุ่งยากไปสำหรับมือใหม่
ตัวฟรีมันก็ดีอยู่ แต่บางร้านอย่างจะกำหนดง่ายๆ เช่น ซื้อ 1-500 บาท ค่าส่ง 50 บาท จาก 501-1000 บาท ค่าส่ง 80 บาท หรือจะคิดจากช่วงน้ำหนัก เช่น 1 กิโลแรก ค่าส่ง 100 บาท 2 กิโลถัดไป 150 บาท อะไรทำนองนี้ ซึ่งการคิดแบบนี้เราเรียกว่า Table Rate ก็แก้ปัญหาด้วยปลักอิน
http://codecanyon.net/item/table-rate-shipping-for-woocommerce/ (ซื้อ)
https://wordpress.org/plugins/woocommerce-table-rates/
http://www.woothemes.com/products/table-rate-shipping/ (ซื้อ)
https://wordpress.org/support/plugin/table-rate-shipping-for-woocommerce
กรณีสินค้าต้องเลือกแบบมีเงื่อนไข ตัวฟรีทำไม่ได้
เช่น ขายของแบบให้ลูกค้าเลือก แล้วจะมีตัวเลือกอื่นๆ โผล่มาตามเงื่อนไขแต่ละตัว เช่น ขายโต๊ะไม้ ผมอาจจะให้เขาเลือกได้ว่าต้องการซื้อโต๊ะไม้ไซส์มาตรฐาน หรือแบบสั่งทำพิเศษ สมมติว่าถ้าเลือกแบบมาตรฐาน ก็จะมีตัวเลือกขนาดมาตรฐานให้เค้าคลิก ถ้าแบบสั่งทำพิเศษ ก็มีช่องให้กรอกเองว่า กว้างเท่าไหร่ ยาวยังไง ไม้อะไร ซึ่งตัวนี้ก็ทำได้ด้วยการใช้ปลักอิน
http://codecanyon.net/item/woocommerce-extra-product-options/ (ซื้อ)
เว็บที่ความต้องการ “พิเศษ” ถ้าจะให้ลิสต์ทั้งหมดก็คงทำได้ยาก
ถ้าเป็นเว็บไซต์แบบทั่วๆไป Woocommerce แบบฟรี ก็ตอบโจทย์แล้ว
ถ้ามีอะไรที่มันยังไม่ครบความต้องการ ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ปลักอิน
2. Woocommerce ออกแบบมาเพื่อเป็นเว็บไซต์ร้านค้าทั่วไปๆ อะไรที่เราต้องการเสริมเฉพาะ เช่นอยากจะแบ่งกลุ่ม Customer VIP กับ Customer ให้เห็นราคาของสินค้าที่เเตกต่างกันก็ไม่สามารถทำได้ ถึงเเม้จะมีระบบคูปองเข้ามาช่วยก็ตามมันก็ยังใช้งานยาก
3. จัดการเรื่องสิทธิ์การเข้าใช้งานยากกว่า E-commerce ตัวอื่นๆ ถ้าจัดการเรื่องสิทธ์ไม่ได้ เราก็จะเพิ่ม admin (คนดูแล) ตามสิทธิ์การเข้าใช้เเต่ละเมนูได้ยาก ทำให้ขนาดของเว็บไซต์ไม่เหมาะสำหรับเว็บไซต์ขายสินค้าที่มีขนาดใหญ่ อีกทั้งตัว Customer ก็จัดระดับประเภทของลูกค้าได้ยาก บางทีเราก็จำเป็นอยากจะแยกประเภทของ Customer ตามประเภทสินค้าต่างๆ ก็ยังทำไม่ได้
4. ระบบคำนวนค่าขนส่ง คิดตามน้ำหนักของสินค้าไม่ได้ จะตั้งเรทราคาตามน้ำหนักไม่ได้ เช่น สินค้าที่จัดส่งในประเทศไทยจำเป็นอยู่ทีจะตั้งจำนวนค่าขนส่งตามน้ำหนักของ ตัวสินค้าด้วย
5.ตัวสินค้าที่เพิ่มหน้าร้าน ไม่สามารถระบุภาษาที่หลากหลายได้ ( Multi-Language)
6. ใส่ลายน้ำให้กับภาพสินค้าไม่ได้
7. ไม่สามารถสร้างฟังก์ชั่นสร้างตัวกรองสินค้าได้ เช่น ถ้าต้องการจะหาเรทราคาของสินค้าตั้งเเต่ 500 – 2000 ก็ไม่สามารถทำได้
อาจจะต้อง Download เสริมเพิ่มเติมเเละอาจจะต้องมีการปรับแต่งความสามารถเพิ่มเพื่อ ให้เหมาะกับเว็บไซต์ขายหน้าร้านขนาดใหญ่