Viral Marketing หรือที่เรามักจะรู้จักกันเป็นภาษาไทย ในชื่อ การตลาดแบบไวรัส คือเทคนิคทางการตลาดอย่างหนึ่ง ที่ใช้ Social Network ที่มีอยู่ก่อนแล้ว มาเสริมสร้าง ให้เกิดการพบเห็นตราสินค้า (Brand Awareness) หรือทำเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ทางการตลาด โดยลักษณะการกระจายข่าวสาร ในแบบ Viral Marketing จะเป็นลักษณะเหมือนการบอกแบบปากต่อปาก เพียงแต่ว่าในยุคนี้ สื่ออินเตอร์เน็ต เอื้อให้การตลาดแบบไวรัส กระจายตัวได้เร็วกว่าแต่ก่อนมาก
Viral Marketing นั้นมีพลัง มีน้ำหนักในการสร้างความเชื่อถือ มากกว่าโฆษณาแบบอื่น ๆ เพราะว่ามีการยืนยันโดยเพื่อน ๆ ของผู้รับเอง เพราะมักจะเป็นการส่งต่อ หรือบอกต่อ โดยใ้ช้อีเมล์ การไป post ไว้ใน blog หรือ Social Network ของตนเอง พอเพื่อนมาเห็น ก็ค่อนข้างจะยินยอมที่จะดู อ่าน หรือฟัง ข้อความหรือข่าวสารนั้นนั่นเอง
Viral Marketing ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ช่องทาง ทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ยังสามารถเผยแพร่กระจายไปตามสื่อ Traditional Media เช่นทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ ได้เ่ช่นกัน
Viral Marketing รูปแบบการตลาดแสนประหยัดและมาแรงในยุคนี้
Viral Marketing เป็นรูปแบบ การทำตลาดแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Marketing) ซึ่งจะบอกต่อกระจายออกไป ไวอย่างกับไวรัสที่แพร่กระจายข่าวอย่างรวดเร็ว
แทนที่คุณจะต้องจ่ายเงินมหาศาลไปกับการซื้อโฆษณาบนหน้าหนังสือพิมพ์ โฆษณาทางทีวี หรือแม้แต่การทำโฆษณาแบนเนอร์ (Banner Ads) บนเว็บไซต์ แต่ด้วยศักยภาพของ Viral Marketing คุณแทบจะจ่ายเงินน้อยมาก หรือไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสักบาทดียวเพื่อลงโฆษณาบนสื่อเหล่านั้น เพียงแค่ปล่อยให้บรรดาแฟนคลับที่ชื่นชมสินค้า หรือติดตามความเคลื่อนไหวของคุณอยู่แล้วทำงานให้กับคุณแทน
การทำตลาดแบบ Viral Marketing จะทำให้แคมเปญการตลาดของคุณมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีด้วยตัวของมันเอง แล้วหลังจากนั้นก็จะเริ่มลุกลามไปเรื่อยๆ เหมือนกับไวรัส ด้วยการที่คุณส่งแคมเปญการตลาดที่สุดแสนจะฮา ขำ กลิ้ง หรือไม่ก็น่าสนใจสุดๆ ต่อไปให้กับเพื่อนๆ ในลิสต์รายชื่ออีเมลหรือรายชื่อใน social network ของคุณ อย่าง facebook และ twitter เพื่อให้เพื่อนๆได้ชม แล้วช่วยแชร์หรือส่งบต่อกันไปอีกที และเมื่อเกิดการส่งต่อๆ กันไปมากขึ้น ก็จะเริ่มมีคนเรียกร้องต้องการรับชมแคมเปญโฆษณานั้นๆที่คุณสร้าง ขึ้นมา เพื่อจะได้รู้ว่ามัน เป็นอย่างที่เสียงลือ เสียงเล่าอ้างที่ใครๆ กล่าวขวัญกันถึงหรือเปล่า ซึ่งเมื่อพวกเขาได้รับชม ได้สัมผัสแล้ว ก็จะส่งต่อๆ ไปยังคนอื่นๆ อีก ทำให้แคมเปญการตลาดที่คุณสร้างขึ้นมานั้นถูกกระจายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็วมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ social network กำลังเป็นที่นิยม ก็จะยิ่งแพร่กระจายได้เร็วยิ่งขึ้น และด้วย internet สารเหล่านี้ก็จะสามรถกระจายไปได้ทั่วโลกในเวลาอันสั้น
Viral Marketing ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ช่องทาง ทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น แต่ยังสามารถเผยแพร่กระจายไปตามสื่อ Traditional Media เช่นทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ ได้เช่นกัน (แต่ทางอินเตอร์เน็ตเป็นที่นิยมมากและได้ผลมากที่สุด )
ทุกวันนี้ Youtube ก็ถูกนำมาเป็นเครื่องมือที่นักการตลาดใช้ในการทำ Viral Marketing อย่างมาก โดยใช้วิธีการรูปแบบต่างๆ เพื่อดึงดูดควาสนใจ ให้คนพูดถึง และบอกต่อ
ตัวอย่างเช่น clip viral video ของเครื่องปั่นน้ำผลไม้ยี่ห้อหนึ่ง ที่ใช้วิธีการที่ว่า เมื่อมีอะไรออกใหม่ หรืออยู่ในกระแส ผู้ชายคนที่อยู่ในคลิปก็จะเอาของที่อยู่ในกระแสมาใส่เครื่องปั่นน้ำผลไม้นี้ แล้วดูว่าจะปั่นได้หรือไม่
เพียงแค่การอิงกับกระแสที่กำลังนิยมอยู่ และด้วยลีลาการปั่น และเนท้อหาที่โดนใจ ก็ทำให้ทุกๆครั้งที่มีของใหม่มาปั่น วีดีโอแต่ละตอนที่อยู่บน youtube ก็จะถูกพูดถึง ส่งต่อกัน เพียงไม่นานก็จะมีผู้ได้ชม video ของเค้าเป็นสิบล้านคนทั่วโลก
และ video ที่ถูกส่งต่อนี้ก็เรียกกันว่า viral video
เรื่องราวของเครื่องปั่นน้ำผลไม้ยี่ห้อนี้ ถูกนำมาเขียนเป็น case study โดยนักการตลาดของสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว
การทำ Viral Web Marketing
เบื้องหลังความสำเร็จของ HotMail, ICQ หรือแม้แต่สินค้าชั้นนำต่างๆ ส่วนหนึ่งก็มาจากการทำ Viral Marketing ซึ่งการทำการตลาดในแบบนี้ได้สร้างการเติบโตทั้งในเรื่องแบรนด์สินค้า และยอดขายให้เพิ่มขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องออกแรงมาก เพียงแต่ต้องมีไอเดียเจ๋งๆ เท่านั้นเป็นพอ
Viral Marketing หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า การทำตลาดแบบปากต่อปาก (Word-of-Mouth Marketing) ถือว่าเป็นการทำตลาดที่เจ๋งสุดๆ ในยุคนี้ ลองคิดดู…แทนที่คุณจะต้องจ่ายเงินมหาศาลไปกับการซื้อโฆษณาบนหน้าหนังสือ พิมพ์ โฆษณาทางทีวี หรือแม้แต่การทำโฆษณาแบนเนอร์ (Banner Ads) บนเว็บไซต์ แต่ด้วยศักยภาพของ Viral Marketing คุณไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินสักแดงเดียวเพื่อลงโฆษณาบนสื่อเหล่านั้น แต่แค่ปล่อยให้บรรดาแฟนคลับที่ชื่นชมสินค้า หรือติดตามความเคลื่อนไหวของคุณอยู่แล้วทำงานให้กับคุณแทน
การ ทำตลาดแบบ Viral Marketing จะทำให้แคมเปญการตลาดของคุณมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีด้วยตัวของมันเอง แล้วหลังจากนั้นก็จะเริ่มลุกลามไปเรื่อยๆ เหมือนกับไวรัส ด้วยการที่คุณส่งแคมเปญการตลาดที่สุดแสนจะฮา ขำ กลิ้ง หรือไม่ก็น่าสนใจสุดๆ ต่อไปให้กับเพื่อนๆ ในลิสต์รายชื่ออีเมลของคุณเพื่อให้ได้ร่วมดื่มด่ำกับสารพัดอารมณ์ที่คุณได้ รับต่อๆ กันไป และเมื่อเกิดการส่งต่อๆ กันไปมากขึ้นก็จะเริ่มมีคนเรียกร้องต้องการรับชมแคมเปญโฆษณานั้นที่คุณสร้าง ขึ้นมา เพื่อจะได้รู้ว่ามันเจ๋งแค่ไหน เป็นอย่างที่เสียงลือ เสียงเล่าอ้างที่ใครๆ กล่าวขวัญกันถึงหรือเปล่า ซึ่งเมื่อพวกเขาได้รับชม ได้สัมผัสแล้ว ก็จะส่งต่อๆ ไปยังคนอื่นๆ อีก ทำให้แคมเปญการตลาดที่คุณสร้างขึ้นมานั้นถูกกระจายไปในวงกว้างอย่างรวดเร็ว
เห็น ไหมล่ะว่า Viral Marketing มีพลังมากแค่ไหน พลังของมันเรียกได้ว่าไร้ขอบเขตเกินพิกัด ซึ่งถ้าคุณใช้การทำโฆษณาด้วยช่องทางปกติอย่างที่เคยๆ ทำมาก็อาจจะได้รับผลตอบรับ หรือมีคนคลิกเข้ามาดูโฆษณานั้นแค่ 500-1,000 ครั้งเท่านั้น ซึ่งผลตอบรับระดับนี้ก็ถือว่าเยี่ยมมากแล้ว แต่ถ้าทำการตลาดด้วยวิธีใหม่อย่าง Viral Marketing คุณจะพบว่าโฆษณาสุดเจ๋งที่คุณคิดขึ้นมาจะมีการส่งต่อ และมีผู้เปิดดูโฆษณานั้นมากกว่านี้หลายเท่าตัว ในเวลาอันรวดเร็วซะด้วย
แต่จะทำอย่างไร?
1. ทำให้คนดูรู้สึกอะไรบางอย่าง
เคล็ด ลับที่สำคัญที่สุดก็คือ การสร้างให้โฆษณาชิ้นนั้นมีการถ่ายทอดความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจน รุนแรง การนำเสนอจะต้องให้ผู้ชมสามารถแสดงความคิดเห็นออกมาได้เป็นคำพูด สามารถตัดสินสิ่งที่ถ่ายทอดออกมาได้ว่าต้องการสื่ออารมณ์แบบไหนออกมา
โฆษณา ของคุณอาจจะทำให้คนรู้สึกรักหรือเกลียด มีความสุข หรือกำลังโกรธอย่างไร้เหตุผล ไร้สาระ งี่เง่า หรือว่าดูฉลาดหลักแหลมอัจฉริยะเหลือหลาย น่าสงสาร น่าเวทนา หรือให้ความรู้สึกน่าเกลียด เห็นแก่ตัว แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คุณต้องการให้คนดูได้รู้สึกไปกับโฆษณาของคุณก็คือความรู้สึกตื่นเต้น ที่ถูกสูบฉีดขึ้นมาในกระแสเลือด เมื่อได้รับชมโฆษณา
อย่า ลืมว่าสิ่งที่คุณทำขึ้นมา โฆษณาที่พยายามคิดค้นขึ้นมาไม่ได้ทำขึ้นเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ แต่จงพยายามทำให้เป็นกลางที่สุด สามารถเข้าถึงได้หลายกลุ่มเป้าหมาย หรือทำให้มีคนที่ไม่เห็นด้วย ไม่ชอบกับสิ่งที่คุณนำเสนอน้อยที่สุด เพราะการทำการตลาดแบบ Viral Marketing นั้น เป็นการทำการตลาดที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ของผู้ชม 100%
2. ทำบางอย่างที่เหนือความคาดหมาย
ถ้า คุณต้องการให้คนสนใจแคมเปญการตลาดของคุณ ก็จะต้องทำอะไรบางสิ่งที่ให้ดูแตกต่าง บางสิ่งที่เหนือกว่าความคาดหมาย ลืมไปได้เลยว่าคุณกำลังจะโปรโมตสินค้าให้ดูยอดเยี่ยมแค่ไหน เพราะทุกคนคิดอย่างนี้อยู่แล้ว และจงลืมไปด้วยว่าคุณจะทำให้มันดูเจ๋งสุดๆ ไปได้เลย เพราะว่าทุกๆ คนก็คิดทำสิ่งเหล่านี้อยู่เหมือนกัน แต่คุณควรจะคิดในสิ่งที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ไม่ใช่สิ่งที่ธรรมดาๆ ที่พบเห็นกันทั่วไป ไม่ใช่แนวทางเดิมๆ ที่ใครๆ ก็คิดกัน ลองกลับมุมมองแล้วคิดให้แตกต่างไปจากสิ่งเดิมๆ ที่เคยเห็น ที่เคยเป็น
ถึงแม้ว่าผู้ชายจะไม่สามารถ คลอดลูกได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่ในขณะเดียวกันไอเดียพวกนี้ก็ทรงประสิทธิภาพมากๆ เมื่อนำมาใช้กับการทำโฆษณาแบบ Viral Advertisements
และเหนือสิ่งอื่นใด ไม่เคยมีใครหลับหูหลับตาเลียนแบบคนอื่นอย่างไม่ลืมหูลืมตากันหรอก เพราะมันดูไม่มีกึ๋นเอาซะเลย
3. อย่าพยายามทำให้ดูเป็นการโฆษณา
ความ ผิดพลาดอย่างมหันต์อย่างที่ไม่น่าให้อภัยในการทำแคมเปญโฆษณาแบบ Viral Marketing ก็คือ คุณคิดว่าจะทำให้มันเป็นแค่โฆษณาที่มีคนแชร์กันดูและส่งต่อๆ กันไป ขอบอกว่าคุณคิดผิดอย่างถนัด เพราะมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น แม้ว่าการทำโฆษณาในแบบดั้งเดิมจะเป็นแค่การโปรโมตสินค้าอะไรสักอย่างที่คุณ ต้องการจะโฆษณา โชว์ให้เห็นว่ามันดีอย่างไร แล้วก็นำสินค้าตัวนั้นไปวางหน้าร้านหรือไม่ก็กลางเวที ดูๆ ไปแล้วก็แสนจะเชย เป็นรูปแบบเดิมๆ ที่ใช้กันมานานจนคร่ำครึ ซึ่งส่วนใหญ่โฆษณาแบบดั้งเดิมพวกนี้ก็จะใช้ซูเปอร์สตาร์ ดาราหนัง นางแบบมาเป็นคนแสดงโฆษณาทั้งนั้น แต่พระเจ้าช่วย คุณเดาอะไรได้อย่างหนึ่งไหม? ไม่มีใครสนใจสินค้าของคุณหรอก ใครๆ เขาก็จ้องดารากันทั้งนั้นแหละ
Viral Marketing คือการนำเสนอเรื่องราวที่ดีๆ ดูอย่าง BMW ตอนที่ทำหนังโฆษณาของ BMW ออกมา หัวใจหลักของหนังโฆษณาไม่ได้เกี่ยวกับรถเลย แต่เป็นเรื่องราว ซึ่งก็เป็นโฆษณาที่ดูเยี่ยมยอดทีเดียว หรืออย่าง Sony ที่ทำโฆษณาทีวี Bravia ออกมา แม้จะเป็นสินค้าที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน แต่ก็ไม่มีใครที่จะจำมันไม่ได้ เพราะฉะนั้นเทรนด์ใหม่ของการทำโฆษณาไม่จำเป็นต้องใช้ตัวสินค้าเป็นเครื่อง มือในการนำเสนอเสมอไป
เพราะฉะนั้นจงลืม อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นตัวคุณ สินค้าของคุณ หรือแม้แต่บริษัทของคุณ แต่จงมุ่งเป้าให้ความสนใจไปที่การสร้างสรรค์เรื่องราวที่ดีและน่าสนใจ แน่นอนว่าคุณสามารถนำสินค้าเข้าไปผสมผสานร่วมกันได้ แต่ต้องไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่จำเป็นต้องเป็นหัวใจหลักของการคิดเรื่องราวเพื่อทำโฆษณา
4. มีเรื่องราวที่ต่อเนื่อง
ถ้า คนที่เพิ่งจะเคยเห็นแคมเปญโฆษณาของคุณ พวกเขาก็จะคิดว่ามันน่าสนใจดี เหนือความคาดหมาย และแน่นอนว่าอารมณ์ของคนดูจะฉีดพุ่งขึ้นไปอีกระดับ เพราะมันมีการลุ้นให้ติดตามตอนต่อไป ซึ่งคุณเองก็ควรจะเอาใจใส่ที่จะทำโฆษณาตอนต่อไปออกมาเรื่อยๆ เพื่อให้มีการติดตามอย่างต่อเนื่อง
แล้วตอนนี้คุณทำอะไรอยู่?
ถ้า คุณชอบที่จะทำเหมือนกับบริษัททั่วๆ ไป คุณก็คงจะทำอะไรที่ดูธรรมดา ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ น่าดึงดูด ซึ่งนั่นเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงทีเดียว เมื่อคุณทำให้คนดูสนใจ อยากติดตามหนังที่คุณสร้างขึ้นมาแล้วก็ต้องเอาใจใส่ดูแลทำออกมาให้ดี ไม่ใช่แค่ทำๆ ออกมาให้มันจบๆ ไป แต่หนังที่สร้างมันต้องมีเรื่องราวที่ดี น่าติดตามด้วย ซึ่งทางหนึ่งที่คุณจะทำได้ก็คือ การทำให้มากกว่าหนังปกติ มีภาคต่อเนื่อง ซึ่งก็ทำได้หลายแบบ เช่น
– ทำให้เป็นหนังที่ดูพิเศษกว่าปกติ มีคอนเซ็ปต์ที่คิดขึ้นมาเป็นรายแรก เหมือนกับหนังฟิล์มของ BMW และ Nissan ที่ทำขึ้นมา – นำเสนอในแนวของเบื้องหลังการถ่ายทำ – ให้คนดูจับผิด หรือหาจุดที่คนทำหนังปล่อยไก่ออกมา ให้ดูคล้ายๆ กับเป็นภาพหลุด – สร้าง Blog เกี่ยวกับขั้นตอนการถ่ายทำ เหมือนกับที่ Nissan ทำมาแล้ว – เนื้อหามีความพิเศษ ดึงดูดใจ – หรือจะนำเสนอทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็ไม่ว่ากัน
ที่ สำคัญ อย่าสร้างหนังโฆษณาที่ปล่อยให้คนดูยืนดูเฉยๆ โดยที่ไม่ได้อะไรกลับไป แล้วก็อย่าลืมนับถอยหลังวันที่จะเผยแพร่โฆษณาชิ้นนั้น เช่น ภาพยนตร์ภาคต่อไปจะฉายในทุกๆ 2 สัปดาห์ เป็นต้น
5. เปิดให้แชร์ ดาวน์โหลด และเอาไปโชว์บนเว็บไซต์อื่นๆ ได้
การแชร์ คือหัวใจของการทำ Viral Marketing เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณพยายามรังสรรค์ขึ้นมานั้นจะต้องทำให้แคมเปญโฆษณา ชิ้นนั้นส่งต่อๆ กันไป เพื่อแบ่งปันกับผู้อื่นง่ายที่สุด นั่นหมายความว่า คุณต้องอนุญาตให้ผู้ชมทำสิ่งเหล่านี้ได้ นั่นคือ
– ดาวน์โหลดคอนเท็นต์ในรูปแบบไฟล์ทั่วๆ ไปที่ใช้กัน เช่น ไฟล์รูปภาพในรูปแบบของ JPG, ไฟล์วิดีโอในรูปแบบของ MPG เป็นต้น
– ต้องทำให้คนดูสามารถนำคอนเท็นต์ที่คุณสร้างขึ้นมาไปโพสต์บนเว็บไซต์ของเขา ได้ ซึ่งขนาดของไฟล์ก็มีความสำคัญ เพราะถ้าใหญ่เกินไปก็ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตความเร็วต่ำไม่สามารถเปิดดู ผ่านออนไลน์ได้
– ยอมให้ส่งต่อไปยังเพื่อนหรือผู้อื่น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมักจะส่งเป็นลิงก์ไปให้ หรือจะให้ส่งคอนเท็นต์นั้นไปยังผู้อื่นโดยตรงก็ได้
– นำไปโพสต์ไว้หลายๆ เว็บไซต์ เช่น Digg.com, YouTube.com เป็นต้น
– อนุญาตให้ผู้ชม Add เว็บไซต์นั้นเข้าไปใน Bookmark ของเขาเอง
Note : คุณสามารถทำให้ง่ายขึ้นได้ ด้วยการสร้างไอคอน ?share me?, ?dig this? หรืออะไรก็แล้วแต่ให้ผู้ชมรู้ว่าเป็นการส่งไปต่อไปยังคนอื่นขึ้นมา
6. สร้างความสัมพันธ์ด้วยความคิดเห็น
ส่วนประกอบที่สำคัญอย่างหนึ่งของการทำ Viral Marketing คือการสร้างความสัมพันธ์กับผู้ชม จงจำไว้ว่าเมื่อคุณได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ชม พวกเขาก็จะเริ่มตื่นเต้น และแน่นอนว่าต้องมีการพูดคุยกัน วิจารณ์สิ่งที่ได้ชมในเรื่องเดียวกัน ซึ่งความคิดเห็นต่างๆ เป็นสิ่งที่มีพลังอย่างมาก ยิ่งมีคนพูดถึงมากเท่าไร ย่อมหมายถึงมีคนให้ความสนใจมากเท่านั้น
จงทำให้แคมเปญโฆษณาแบบ Viral Marketing ของคุณเข้าไปอยู่ในใจของคนดู ด้วยการสร้างอารมณ์ของเนื้อเรื่องให้มีความชัดเจน มีความน่าจดจำ ตราตรึงติดอยู่ในสมอง ในจิตใจของคนดู นั่นหมายความว่าคุณต้องทำให้คนดูชอบโฆษณานั้นจริงๆ จังๆ หรือไม่ก็ทำให้คนรู้สึกแย่มากๆ จะได้พูดถึงกันไปปากต่อปาก กระจายข่าวกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณจะต้องทำใจยอมรับความคิดเห็นทั้งดีและไม่ดีที่จะเกิดขึ้น และจะต้องต้อนรับทุกความคิดเห็นที่เข้ามา แต่ในเวลาเดียวกัน คุณก็ต้องศึกษา คาดการณ์ล่วงหน้า และตั้งรับกับสงครามการต่อต้านจากผู้ชม รวมทั้งคู่แข่งของคุณด้วย
จริงๆ แล้วก็ไม่ได้เป็นความผิดบาปอะไรนักหนาถ้าคุณจะลบความคิดเห็นของคนที่ตั้งใจ เข้ามาโจมตีคุณทิ้งไปบ้าง แต่ในขณะเดียวกันคุณจะผิดและบาปอย่างมากถ้าคุณลบความคิดเห็นของคนที่แค่ไม่ เห็นด้วยกับสิ่งที่คุณทำ หรือมีความคิดในทางด้านลบกับโฆษณาของคุณที่สร้างขึ้นมา
การสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นหมายถึงการส่งความคิดเห็นกลับมา ดังนั้นอย่าใส่ความคิดเห็นลงไปถ้าคุณไม่ต้องการที่จะให้ใครมาสร้างสัมพันธ์ กับตัวคุณ
7. อย่าจำกัดการเข้าชมเด็ดขาด
Viral Marketing เป็นการสร้างแคมเปญการตลาดที่ทำให้มันมีชีวิตด้วยตัวเอง เหมือนกับการทำงานของไวรัส ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่า Viral เป็นคำ Adjective มีความหมายว่า เกี่ยวกับ หรือเกิดจากเชื้อไวรัส (Virus) ฉะนั้นจึงไม่แปลกที่รูปแบบการทำงานในแบบ Viral Marketing จะเหมือนกับไวรัสที่ต้องการอิสระ เพื่อส่งต่อไปยังผู้อื่นได้ง่ายๆ เพียงแต่ไม่มีอันตราย หรือน่ารังเกียจเหมือนกับไวรัสเท่านั้นเอง
ดังนั้นเพื่อให้การเข้าชมเป็นไปอย่างไร้ขอบเขต ไม่ถูกจำกัด จึงต้อง
– อย่าให้ผู้ชมลงทะเบียน – ไม่ต้องสมัครสมาชิก – ไม่ต้องดาวน์โหลดด้วยซอฟต์แวร์พิเศษ – ไม่มีการล็อกรหัส – ไม่ต้องทำอะไรก็ตามเพื่อให้ได้ลิงก์โฆษณาที่ถูกต้องมา
การ ทำโฆษณาแบบ Viral Marketing นั้น ไม่ต้องการให้งานโฆษณาดูลึกลับ หรือถูกเก็บเป็นความลับ แต่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นได้รับชมกันอย่างถ้วนหน้า
ที่มา : ecommerce-magazine.com