mRNA
ใช้รหัสพันธุกรรมบางส่วนของเชื้อไวรัสมาฉีดกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่ Pfizer-Biontech, Moderna กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากกว่า 300 titers
mRNA vaccine
ผลิตจากสารพันธุกรรมของไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 หรือไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) เมื่อฉีดวัคซีนเข้ามาในร่างกายมนุษย์ ตัวสารพันธุกรรมจะทำร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนที่สามารถกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสขึ้นมา ซึ่งวัคซีนในกลุ่มนี้ที่มาแรงที่สุดตอนนี้ คือ วัคซีนจากบริษัทไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทค (Pfizer BioNTech) และของบริษัทโมเดอร์นา (Moderna) ประเทศสหรัฐอเมริกา ข้อดีของวัคซีนตัวนี้ คือ ผลิตง่าย รวดเร็ว ขั้นตอนการผลิตไม่ยุ่งยาก และราคาไม่สูงมาก แต่มีข้อจำกัดคือ เนื่องจากวัคซีนป้องกันโรคอื่นๆ ที่เคยมีใช้ทั่วโลกก่อนหน้านี้ ยังไม่มีวัคซีนตัวไหนที่ผลิตโดยเทคโนโลยีนี้ ทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับความปลอดภัยในระยะยาวและประสบการณ์การใช้อาจมีไม่มากนัก นอกจากนี้วัคซีนในกลุ่มนี้ยังจำเป็นต้องเก็บรักษาที่อุณหภูมิต่ำมาก เช่น -70 หรือ -20 องศาเซลเซียส เพื่อให้คงประสิทธิภาพไว้ได้
วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ ไบโอเอ็นเทค (Pfizer/BioNTech) ประสิทธิภาพ 95% ให้วัคชีน 2 ครั้ง ห่างกัน 3 สัปดาห์ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เก็บที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส ด้านผลข้างเคียงรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับการรับวัคซีน
วัคซีนของบริษัทโมเดอร์นา (Moderna) ประสิทธิภาพของวัคซีน 94% โดยให้วัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 4 สัปดาห์ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เก็บที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส (ได้นาน 6 เดือน) หรือเก็บที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส (ได้นาน 1 เดือน) ด้านผลข้างเคียงรุนแรงที่เกิดขึ้นไม่พบว่าเกี่ยวข้องกับการรับวัคซีนเช่นกัน
Viral-Vector
ใช้เชื้อไวรัสที่ทำให้เชื้ออ่อนลง ไม่ก่อให้เกิดโรค มาตัดต่อใส่รหัสพันธุกรรม เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่ Oxford ChAdOx1 ของบริษัท AstraZeneca กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากกว่า 200 titers
viral vector vaccine
ใช้หลักการฝากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) เข้าไปในไวรัสพาหะชนิดอื่นๆ เช่น adenovirus เพื่อพาเข้ามาในร่างกายมนุษย์ และทำให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสขึ้นมาได้ โดยวัคซีนในกลุ่มนี้ ตัวที่มาแรง ได้แก่ วัคซีนของบริษัท AstraZeneca ร่วมกับ University of Oxford ของประเทศอังกฤษ ข้อดีของวัคซีนในกลุ่มนี้ คือ เป็นวัคซีนที่เลียนแบบการติดเชื้อตามธรรมชาติ ผลิตได้ง่าย เร็ว ราคาไม่สูง ข้อด้อยของวัคซีน คือ ยังไม่มีประสบการณ์ใช้ในวงกว้าง และในผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสที่ใช้เป็นพาหะมาก่อน วัคซีนอาจกระตุ้นให้เกิดภูมิคุ้มกันที่ไม่ดีมากนัก
วัคซีนตัวนี้เป็นตัวที่รัฐบาลไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตจากมหาวิทยาลัย Oxford และบริษัท AstraZeneca ซึ่งคาดว่าจะทยอยส่งมอบล็อตแรก จำนวน 26 ล้านโดส ในเดือนพฤษภาคม 2564 นี้ ทั้งนี้วัคซีนของบริษัท AstraZeneca ใช้ไวรัส Adenovirus ของลิงชิมแปนซี เป็นไวรัสพาหะ และจากการศึกษาวิจัยพบว่าวัคซีนมีประสิทธิภาพเฉลี่ยโดยรวม 70% (โดยกลุ่มอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนครึ่งโด๊ส ตามด้วย 1 โด๊ส ประสิทธิภาพของวัคซีนอยู่ที่ 90% และอาสาสมัครกลุ่มที่ได้รับวัคซีน 2 โด๊ส ประสิทธิภาพของวัคซีนอยู่ที่ 62%) โดยให้วัคซีน 2 ครั้ง ห่างกัน 4 สัปดาห์ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การเก็บรักษาวัคซีนสามารถเก็บได้ที่อุณหภูมิ 2-8 องศา (อย่างน้อย 6 เดือน) ด้านผลข้างเคียงพบว่าอาการที่รุนแรงที่เกิดขึ้นไม่พบว่าเกี่ยวข้องจากการรับวัคซีน
Protein-nanoparticle
ใช้โปรตีนส่วนหนึ่งของไวรัสร่วมกับส่วนอื่นๆ ฉีดกระตุ้นเพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน ได้แก่ Novavax กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้มากกว่า 3,000 titers
วัคซีนแบบใช้โปรตีน (protein-based vaccine)
ซึ่งเป็นวัคซีนที่ประกอบด้วยโปรตีนของเชื้อไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) โดยอาจใช้เป็นชิ้นส่วนโปรตีนของไวรัส เช่น โปรตีนส่วนหนาม (spike protein) ผลิตได้ง่าย รวดเร็ว ราคาไม่แพง และเคยมีประสบการณ์การใช้มาก่อน แต่อาจต้องใช้สารเสริมฤทธิ์ (adjuvant) เพื่อให้การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันดี วัคซีนในกลุ่มนี้ที่มาแรง ได้แก่ วัคซีน Novavax อยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัยในคน ระยะที่ 3
DNA
ออกแบบชิ้นส่วน DNA ด้วยวิธีสอดแทรกยีนที่สร้างแอนติเจนเข้าไป และใช้วิธีฉีดทางกล้ามเนื้อ หรือผิวหนัง เพื่อให้แสดงออกเป็นโปรตีนแอนติเจนที่ต้องการได้
Inactivated
ทำให้เชื้อไม่สามารถก่อโรคได้ ด้วยสารเคมี หรือแสง UV
วัคซีนเชื้อตาย (inactivated vaccine)
ใช้ไวรัสซาร์ส-โควี-2 (SARS-CoV-2) ที่ถูกทำให้ตายแล้ว ได้แก่ วัคซีนโคโรนาแวค (CoronaVac) ของบริษัทซิโนแวค (SinoVac) ประเทศจีน ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีมานาน จึงมีประสบการณ์และความมั่นใจในการใช้เป็นอย่างดี แต่ข้อจำกัด คือ ราคาวัคซีนอาจจะค่อนข้างสูง เนื่องจากกรรมวิธีในการผลิตต้องดำเนินการในห้องปฏิบัติการที่มีระบบความปลอดภัยทางชีวภาพในระดับที่ 3
ประสิทธิภาพของวัคซีน ในประเทศบราซิลพบว่าประสิทธิภาพของวัคซีนเฉลี่ยอยู่ที่ >50.3% (รวมอาสาสมัครที่ติดเชื้อทั้งที่มีอาการรุนแรงและไม่รุนแรง) โดยให้วัคชีน 2 ครั้ง ห่างกัน 2-4 สัปดาห์ ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ การเก็บรักษาวัคซีนสามารถเก็บได้ที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส สำหรับผลข้างเคียงที่รุนแรงของวัคซีน ยังไม่มีรายงานจากการวิจัยทดลองระยะที่ 3
วัคซีนตัวนี้จะนำเข้าในประเทศไทยล็อตแรกในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จำนวน 2 แสนโด๊ส และเดือนมีนาคม 2564 อีก 8 แสนโด๊ส จากที่สั่งซื้อทั้งหมด 2 ล้านโดส (ข้อมูลตามที่รัฐบาลแถลง)
VLP (Virus Like Particle)
วัคซีนอนุภาคคล้ายไวรัส
ประเภทใดถูกใช้ไปแล้วมากที่สุด
วัคซีนประเภท mRNA ถูกนำมาฉีดให้กับประชากรมากที่สุด
รองลงมาคือ Inactivated Vaccine
แบบอื่นยังอยู่ในขั้นตอนวิจัยพัฒนา
ข้อมูลเดือนมกราคม 2564 ทั่วโลกจองวัคซีนแล้ว 8.2 พันล้านโดส
แคนาดา และอังกฤษจองวัคซีนได้มากกว่าประชากรในประเทศถึง 3 เท่า
สหรัฐอเมริกา จองได้ 1.7 เท่าของประชากร
สถาบัน Serum Institute ในประเทศอินเดีย ผู้ผลิตวัคซีนให้กับโลกสูงสุด ปีละ 2 พันล้านโดส คาดการณ์ว่า ระยะเวลาเร็วที่สุดที่ทั่วโลกจะได้รับวัคซีนโควิด-19 อย่างเพียงพอ จะอยู่ในปี 2024
วัคซีนโควิด-19 ประเภท mRNA ได้ฉีดไปราว 8 ล้านคน แพ้วัคซีน 8 คน ถือเป็น 1 ในล้าน
รายชื่อวัคซีนโควิด-19 ที่มีการจอง หรือใช้ฉีดกันแล้ว ได้แก่
AstraZeneca, Novavax, Moderna และ Pfizer-BioNTech