Probiotics ชั้นดีที่ช่วยในการดูแลสุขภาพ
แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี (Lactobacillus Reuteri) เป็น Probiotics
ปัจจุบันมีงานวิจัยที่ศึกษาถึงประสิทธิภาพของแบคทีเรียสายพันธุ์นี้ด้านการรักษาและป้องกันโรคต่าง ๆ มากมาย แบคทีเรียแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี จะอาศัยอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ในร่างกาย ทั้งทางเดินอาหาร ทางเดินปัสสาวะ ผิวหนัง หรือแม้กระทั่งในนมแม่
แบคทีเรียชนิดนี้มีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่เป็นอันตราย ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน และเสริมสร้างเกราะป้องกันแก่ลำไส้
ประโยชน์ของแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี
โดยแบคทีเรียสายพันธุ์นี้อาจมีคุณสมบัติช่วยรักษาและป้องกันโรคหรือความผิดปกติบางชนิดได้
อาการท้องเสีย
อาการท้องเสีย
ภาวะที่ผู้ป่วยถ่ายอุจจาระเหลวและอาจมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย อย่างปวดท้อง คลื่นไส้ หรือมีไข้ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือปรสิต การกินยาปฏิชีวนะ การเจ็บป่วยด้วยภาวะย่อยน้ำตาลแล็กโทสบกพร่อง เป็นต้น
Probiotics ส่วนใหญ่ รวมทั้งแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องการช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย
งานวิจัยหนึ่งได้ศึกษาคุณสมบัติในการรักษาอาการท้องเสียชนิดฉับพลันของแบคทีเรียสายพันธุ์นี้ โดยแบ่งเด็กอายุ 6 เดือนไปจนถึง 3 ปี จำนวน 40 ราย ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่กินแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี กับกลุ่มที่กินยาหลอก โดยเด็กเหล่านี้เป็นผู้ที่มีอาการท้องเสียชนิดเฉียบพลัน ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสโรต้า ผลปรากฏว่าเด็กในกลุ่มที่กินแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี ส่วนใหญ่มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำอยู่เพียง 1.7 วัน และเหลือเด็กอยู่เพียง 26 เปอร์เซ็นต์ที่ยังถ่ายอุจจาระเหลวเมื่อเข้าสู่การทดลองวันที่ 2 ส่วนเด็กในกลุ่มที่กินยาหลอก ส่วนใหญ่มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำอยู่นาน 2.9 วัน และเหลือเด็กอยู่ถึง 81 เปอร์เซ็นต์ที่ยังมีอุจจาระเหลวเมื่อเข้าสู่การทดลองวันที่ 2
งานวิจัยที่ศึกษาประสิทธิภาพของแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี ในการป้องกันอาการท้องเสียจากการใช้ยาปฏิชีวนะ โดยแบ่งผู้ที่กำลังใช้ยาปฏิชีวนะจำนวน 23 ราย ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่กินแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 4 สัปดาห์ กับกลุ่มที่กินยาหลอก ผลการศึกษาพบว่าอาสาสมัครกลุ่มแรกเกิดอาการท้องเสียน้อยครั้งกว่าอาสาสมัครกลุ่มที่ 2
การป้องกันและรักษาอาการท้องเสีย
ภาวะลำไส้แปรปรวน
ลำไส้แปรปรวนจัดเป็นความผิดปกติของลำไส้ที่เกิดขึ้นเรื้อรังและจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง โดยลำไส้ที่ทำงานผิดปกติจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสีย หรือท้องผูก ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะ ภาวะลำไส้ทำงานผิดปกติ การติดเชื้อ เป็นต้น
เด็กที่มีอายุ 4-18 ปี ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยภาวะปวดท้องไม่ทราบสาเหตุ (FAP) หรือภาวะลำไส้แปรปรวน (IBS) โดยแบ่งผู้ป่วยเป็น 2 กลุ่ม แล้วทดลองให้กลุ่มแรกกินแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี กับอีกกลุ่มกินยาหลอกเป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่ากลุ่มเด็กที่กินแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี มีจำนวนวันที่มีอาการปวดท้องน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่ได้กิน
อาการท้องผูก
ท้องผูกเป็นภาวะที่ถ่ายอุจจาระได้น้อยครั้งกว่าปกติหรือถ่ายอุจจาระไม่ออก โดยอุจจาระมักมีลักษณะเป็นเพียงเม็ดเล็ก ๆ แห้งและแข็ง จึงต้องใช้แรงเบ่งมาก และอาจรู้สึกเจ็บเมื่อเบ่งเพื่อขับถ่าย ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ฮอร์โมนไม่สมดุล การใช้ยาบางชนิด การอุดตันภายในลำไส้ เป็นต้น
การรักษาอาการท้องผูก โดยแบ่งอาสาสมัครทั้งชายและหญิงที่มีอาการท้องผูกที่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากโรคอื่น ๆ จำนวน 40 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่กินแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรีติดต่อกัน 4 สัปดาห์ กับกลุ่มที่กินยาหลอก จากกการศึกษาพบว่ากลุ่มที่กินแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี มีจำนวนครั้งของการขับถ่ายเพิ่มขึ้น และเมื่อสิ้นสุดการศึกษาพบว่ามีจำนวนครั้งของการขับถ่าย 5.28 ครั้งต่อสัปดาห์ เทียบกับกลุ่มที่กินยาหลอกซึ่งมีการขับถ่าย 3.89 ครั้งต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม จำเป็นต้องมีงานวิจัยสนับสนุนเพิ่มเติมในอนาคตต่อไป เพื่อยืนยันประสิทธิภาพของแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรีในด้านนี้ให้แน่ชัดยิ่งขึ้น
อาการโคลิค
โคลิค คือ ภาวะที่ทารกร้องไห้อย่างหนักโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด มักเกิดอาการในช่วงเวลากลางคืน และกล่อมให้เด็กหยุดร้องได้ยาก ซึ่งเป็นอาการทั่วไปที่เกิดขึ้นกับทารกได้ และจะค่อย ๆ ลดน้อยลงตามอายุเด็กที่เพิ่มมากขึ้น โดยส่วนใหญ่อาการนี้จะหายไปเมื่อทารกมีอายุ 3-4 เดือน แม้ในทางการแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการโคลิค แต่คาดว่าอาจเป็นผลมาจากหลายปัจจัย เช่น การหดเกร็งของกล้ามเนื้อในระบบทางเดินอาหาร อาการท้องอืด หรืออาการปวดท้องจากฮอร์โมนในร่างกายเปลี่ยนแปลง เป็นต้น
แล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี อาจมีคุณสมบัติป้องกันและรักษาภาวะโคลิคในทารกด้วย โดยมีการศึกษาผลการรักษาภาวะโคลิคด้วยโพรไบโอติกแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี ซึ่งศึกษาเปรียบเทียบกับการให้ยาลดอาการท้องอืด Simethicone ด้วยการแบ่งทารกที่มีภาวะโคลิคออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่กินแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี ชนิดหยดวันละ 5 หยด 41 คน และกลุ่มที่กินยา Simethicone 42 คน เป็นเวลา 28 วัน ผลการศึกษาพบว่า ทารกกลุ่มที่กินแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี มีระยะเวลาในการร้องไห้ลดลง ต่างจากกลุ่มที่กินยา Simethicone โดยเห็นผลความแตกต่างภายใน 1 สัปดาห์ และเมื่อพิจารณาผลลัพธ์ทางการรักษาก็พบว่า การกินแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี มีประสิทธิผลทางการรักษาสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การรักษาด้วยยา Simethicone ให้ผลทางการรักษาเพียง 7 เปอร์เซ็นต์ โดยประสิทธิผลทางการรักษาวัดจากการลดลงของระยะเวลาในการร้องไห้ที่กลุ่มทดลองที่ได้รับโพรไบโอติกแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี มีระยะเวลาในการร้องไห้ลดลงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับก่อนการรักษา
โรคหอบหืด
โรคหืดหรือหอบหืดเกิดจากหลอดลมไวต่อสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลอดลมหดเกร็งและเยื่อบุหลอดลมอักเสบ ผู้ป่วยมักมีอาการหายใจลำบาก เนื่องจากเยื่อบุหลอดลมที่อักเสบจะบวมขึ้น ทำให้ทางเดินหายใจตีบแคบลง อีกทั้งอาจมีเสมหะในร่างกายหลั่งออกมาคั่งค้างอยู่ในหลอดลมด้วย
อาจช่วยบรรเทาอาการของโรคหอบหืดได้ โดยมีการทดลองแบ่งเด็กที่เป็นโรคหอบหืดและมีอายุระหว่าง 6-14 ปี จำนวน 50 คน ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรีชนิดน้ำจำนวน 5 หยด/วัน ติดต่อกัน 60 วัน กับกลุ่มที่ไม่ได้รับแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรี แล้วทำการวัดค่าไนตริกออกไซด์ (Nitric Oxide) ในลมหายใจขณะหายใจออก หากค่านี้มีปริมาณมากแสดงว่ามีการอักเสบในหลอดลมสูง ผลปรากฏว่าเด็กกลุ่มที่ได้รับแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรีมีปริมาณไนตริกออกไซด์ลดลงจากเดิม ซึ่งอาจแสดงได้ว่าการอักเสบของทางเดินหายใจมีแนวโน้มลดลงด้วย
อาจมีคุณสมบัติในการรักษาโรคหรือความผิดปกติอื่น ๆ ที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้อย่างผื่นผิวหนังอักเสบด้วย แต่งานวิจัยที่ศึกษาในด้านนี้ยังมีอยู่ค่อนข้างจำกัด
ส่วนผู้ป่วยหอบหืด โดยทั่วไปสามารถรับประทานหรือนำอาหารเสริมจากแล็กโทบาซิลลัส รียูเทอรีมาใช้ควบคู่กับยารักษาหอบหืดได้
http://food.fda.moph.go.th/law/data/announ_fda/61_Probiotic_Bacteria.pdf