โดยหน้าที่หลักของสารตัวนี้มีสามประการคือ
1. Detoxification กลูต้าไธโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างในร่างกายโดยเฉพาะ Glutathione-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกาย โดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดที่ไม่ละลายน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น โลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิด ให้เป็นสารละลายน้ำได้ดีขึ้นและง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันตับถูกทำลายจากแอลกอฮอล์ สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตตามอนเกิดขนาด
2. Antioxidant กลูต้าไธโอน มีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกริยาออกซิเดชั่น ที่มีความสำคัญตัวหนึ่งในร่างกาย และหากขาดไป วิตามินซี และวิตามินอี อาจทำงานได้ไม่เต็มที่
3. Immune Enhancer ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิด เพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้กลูตาไธโอน ยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีน prostaglandin
แหล่งที่พบกลูต้าไธโอน
พบสารชนิดนี้ได้ในพืชผักชนิด ต่างๆ ผลไม้ทั่วไปและเนื้อสัตว์ แต่พบมากในหน่อไม้ฝรั่ง (Asparagus) อโวคาโด และ วอลนัท ร่างกายเราก็สามารถสร้างกลูตาไธโอนได้และมีสารหลายชนิดที่ช่วยเพิ่มการสร้างกลูต้าไธโอน ได้แก่ Alpha lipo acid , Glutamine , Methionine , Whey Protein , Vitamin B6 , Vitamin B2 , Vitamin C และ Selenium
สารกลูตาไธโอนมาใช้เป็นยารักษาโรคหลาย
• ระบบประสาทบกพร่อง
• โรคพากินสัน
• โรคอัลไซเมอร์หรือ โรคสมองเสื่อม
• โรคปลายเส้นประสาทอักเสบ
• โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก
• รักษาความเป็นพิษจากโลหะหนัก
• ช่วยชะลอวัย และเป็นยาอายุวัฒนะ
ทั้งนี้ข้อมูลการใช้สารกลูตาไธโอนในการรักษา
ฝ้า และทำให้ผิวขาวเปล่งปลั่งนั้น ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน
ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์แต่อย่างใด
กลูตาไธโอน (glutathione) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เซลล์ในร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ได้เอง มีคุณสมบัติเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่ในการปกป้องเนื้อเยื่อไม่ให้ถูกทำลายโดยสารอนุมูลอิสระที่สะสมอยู่ตามส่วนต่างๆของร่างกาย กระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย และที่สำคัญยังช่วยตับในการทำลายและขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วย
ในทางการแพทย์พบว่ามีการนำกลูตาไธโอนมาทดลองใช้ในการรักษาโรคต่างๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการอนุมัติข้อบ่งใช้จากองค์การอาหารและยา เช่น ภาวะเป็นหมันในเพศชาย ปลายเส้นประสาทอักเสบ มะเร็งกระเพาะอาหาร หรือมะเร็งต่อมลูกหมาก วิธีการรักษามักทำโดยการฉีดเข้าทางหลอดเลือดดำหรือเข้าที่กล้ามเนื้อ ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งที่น่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการฉีดกลูตาไธโอนนั้นมีสีผิวที่ขาวขึ้น เนื่องมาจากกลูตาไธโอนสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ได้ และส่งผลให้เม็ดสีของผิวหนังเปลี่ยนจากเม็ดสีน้ำตาลดำเป็นเม็ดสีชมพูขาว ด้วยเหตุนี้เองจึงมีผู้พยายามนำผลข้างเคียงของยามาใช้ในการทำให้ผิวขาวขึ้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นการนำยามาใช้ในทางที่ผิดอีกรูปแบบหนึ่ง โดยในปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาที่น่าเชื่อถือยืนยันหรือรับรองประสิทธิภาพและประโยชน์ของกลูตาไธโอนในการทำให้ผิวขาวได้อย่างแท้จริง จึงไม่น่าแปลกใจที่กลูตาไธโอนไม่ผ่านการรับรองข้อบ่งใช้โดยองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกาสำหรับทำให้ผิวขาว
ผลิตภัณฑ์กลูตาไธโอนที่พบในท้องตลาดส่วนใหญ่นั้นเอยู่ในรูปยาเม็ดหรือผงละลายน้ำสำหรับรับประทาน ซึ่ง กลูตาไธโอนนี้สามารถถูกทำลายได้ในทางเดินอาหารของมนุษย์ ดังนั้นประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นจากการรับประทานกลูตาไธโอนในรูปแบบของยารับประทานนั้นแทบจะไม่มีเลย ที่ผ่านมาจึงพบว่ามีผู้พยายามนำกลูตาไธโอนในรูปแบบยาฉีดมาใช้แทนการรับประทานกันมากขึ้น เนื่องจากเชื่อว่ากลูตาไธโอนชนิดฉีดนั้นมีประสิทธิภาพในการทำให้ผิวขาวได้ดีกว่าและเห็นผลเร็วกว่ากลูตาไธโอนชนิดรับประทาน
ประเด็นสำคัญของการใช้ยาฉีดกลูตาไธโอนโดยเฉพาะการฉีดเข้าหลอดเลือดดำนั้น คือ ความปลอดภัยจากการฉีดยา เนื่องจากผิวที่ขาวขึ้นจากกลูตาไธโอนนั้นเป็นผลข้างเคียงของยาที่เกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น หากต้องการให้ผลคงอยู่ไปตลอดจำเป็นต้องได้รับการฉีดซ้ำเป็นระยะ ทำให้มีการสะสมยาในร่างกายมากขึ้น และอาจก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้ นอกจากนี้การฉีดยาจำเป็นต้องกระทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพที่เชี่ยวชาญเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการให้ยา เช่น การฉีดยาในอัตราที่เร็วเกินไป การติดเชื้อในกระแสเลือดจากเครื่องมือที่ไม่สะอาดเ การเกิดฟองอากาศอุดตันหลอดเลือดเนื่องจากผู้ฉีดยาไล่ฟองอากาศในเข็มฉีดยาไม่หมด เป็นต้น ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อผู้ที่ได้รับยาจนถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว
ถึงแม้ว่ากลูตาไธโอนเป็นสารที่ร่างกายสร้างได้เองตามธรรมชาติ แต่ประสิทธิภาพและความปลอดภัยของ กลูตาไธโอนชนิดฉีดหรือชนิดรับประทานเพื่อให้ผิวขาวใสนั้นยังไม่มีการพิสูจน์ผลที่ชัดเจน ความปลอดภัยในการใช้ยาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง และพึงระลึกไว้เสมอว่า “ ไม่มียาชนิดใดในโลกที่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซนต์ ” ดังนั้นก่อนการใช้ยาใดๆ ก็ตามควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเสียก่อนเพื่อความปลอดภัยของตนเอง
Reference:
1. Villarama CD, Maibach HI. Glutathione as a depigmenting agent: an overview. Int J Cosmet Sci 2005;27:147–53.
2. พิมลพรรณ พิทยานุกุล. สารกลูตาไธโอน ช่วยให้ขาวได้จริงหรือ [Online]. 2008 Apr 22 [cited 2010 Feb 5]. Available from: URL: http://www.consumerthai.org/old/cms/index.php?option=com_ content&task=view&id=1055&Itemid=38
https://www.megawecare.co.th/content/5399/vitiligo-from-glutathione
กลูตาไธโอนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ หรือแอนติออกซิแดนต์สำคัญในเซลล์ร่างกาย ช่วยปกป้องเซลล์ด้วยการต่อต้านสารพิษอนุมูลอิสระสาเหตุความเสื่อม ทั้งยังช่วยดีทอกซ์ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย ส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในการขจัดสิ่งแปลกปลอม เช่น แบคทีเรีย หรือไวรัส มีส่วนเกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมดีเอ็นเอ โปรตีน
ร่างกายคนเราสร้างกลูตาไธโอนโดยใช้กรดอะมิโน ซิสเทอีน ไกลซีน และกลูตาเมต ซึ่งได้จากอาหาร แต่การสร้างกลูตาไธโอนจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้นตามภาวะเสื่อมของร่างกาย และยิ่งลดลงเมื่อถูกใช้ขจัดอนุมูลอิสระที่เกิดจากปัจจัยและพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น รังสียูวี โลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง ยา การทำงานหนัก เครียดสะสมอดนอนต่อเนื่อง ดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ฯลฯ หรือโรคต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบในร่างกาย เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด อัลไซเมอร์ ออทิสติก หอบหืด อ้วน เบาหวาน มะเร็ง ล้วนทำให้กลูตาไธโอนลดลง
อาหารที่มีกลูตาไธโอนสูง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง อะโวคาโด ผักโขม เนื้อวัว ปลา สัตว์ปีก บรอกโคลี ผักชีฝรั่ง กะหล่ำดอก กระเทียม หัวหอม การกินวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระจากเบอรี่ ส้มสีแดง (red orange หรือ blood orange) ล้วนมีส่วนช่วยเพิ่มกลูตาไธโอน ลดสารพิษอนุมูลอิสระได้ พฤติกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพ เช่น การนอนหลับเพียงพอการ ออกกำลังกายพอเหมาะ การจัดการความเครียด จะส่งเสริมการสร้างกลูตาไธโอนการดูแลสุขภาพองค์รวมทุกด้าน จึงเป็นวิธีช่วยให้ร่างกายสร้างและรักษากลูตาไธโอน เพื่อประโยชน์ในการชะลอวัย ชะลอความเสื่อม สุขภาพดี
- สัตว์ ปลาแซลมอน, เนื้อวัว, เนื้อหมู
- อื่นๆ ได้แก่ โยเกิร์ต, ไข่, นม
- ผลไม้ เกรปฟรุ้ต, แอปเปิ้ล, องุ่น, แตงโม, ส้ม, สตรอเบอร์รี่
- ส้ม มีทั้งวิตามินซี เบต้าแคโรธีนรวมถึงกลูตาไธโอนด้วย ซึ่งสารอาหารทั้งหมดที่มีในส้มนี้สามารถช่วยบำรุงผิวของสาวๆ ให้แข็งแรง สามารถทนต่อฝุ่นและมลภาวะ ช่วยลดการอักเสบจากการโดนแดด ทำให้ผิวขาวใส และช่วยลดริ้วรอย
- สตรอเบอร์รี่ วิตามินซีสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระและกลูต้าไธโอน จึงช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ชั้นผิว ส่งผลให้ผิวดูขาวออร่า สุขภาพผิวดีแข็งแรง พร้อมช่วยให้ผิวอิ่มน้ำ ตึงกระชับ ไม่หย่อนคล้อย
- ผัก บีทรูท, อะโวคาโด, บร็อกโคลี่, ผักโขม, เห็ด, มะเขือเทศ, หน่อไม้ฝรั่ง, ถั่วเหลือง, ถั่วลันเตา
- บีทรูท วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด มีสารไลโคปีนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเพิ่มระดับกลูตาไธโอน ทำให้ผิวละเอียด เรียบเนียน กระชับ ชะลอการเกิดริ้วรอยและยังช่วยป้องกันรังสียูวีจากแสงแดดได้ด้วย
- อะโวคาโด มีกลูต้าไธโอนสูง มีกรดไขมันโอเมกา ซึ่งเป็นสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เติมเต็มร่องลึก และป้องกันผิวถูกทำลายจากอนุมูลอิสระต่างๆ
- บร็อกโคลี่ มีวิตามินซี สารต่อต้านอนุมูลอิสระและกรดอัลฟาไลโปอิคที่ช่วยเสริมกลูต้าไธโอนในร่างกาย พร้อมทั้งมีลูทีนเพื่อสร้างคอลลาเจนให้ผิวมีความยืดหยุ่น
- ผักโขม มีลูทีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นการผลิตคอลลาเจนใต้ชั้นผิว และยังมีกลูต้าไธโอนในปริมาณสูง พร้อมกรดอัลฟาไลโปอิคซึ่งเป็นตัวช่วยในการผลิตกลูต้าไธโอน
- เห็ด มีทั้งเส้นใยที่ช่วยขับถ่ายและลดน้ำหนัก มีสารซีลีเนียมซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างสารกลูตาไธโอน และสามารถช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนได้เร็วขึ้น และยังเปี่ยมไปด้วยโปรตีนที่จะช่วยเพิ่มพลังงาน
- มะเขือเทศ มีวิตามินซี มีเบต้าแคโรทีน มีสารไลโคปีนสูงและยังประกอบไปด้วยกรดอัลฟาไลโปอิคจึงช่วยผลิตและเพิ่มระดับกลูตาไธโอนในร่างกาย
- หน่อไม้ฝรั่ง มีสารกลูต้าไธโอนเทียบต่อหน่วยบริโภคสูง และมีลูทีนช่วยในการผลิตคอลลาเจน
- ถั่วเหลือง มีสารอาหารสำคัญอย่างกรดอะมิโนอยู่ 3 ชนิด นั่นก็คือ Cysteine, Glycine และ Glutamic ซึ่งกรดทั้ง 3 ชนิดนี้มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างกลูต้าไธโอนได้ และนอกจากนี้ยังมีสารไอโซฟลาโวนส์ที่ช่วยให้ร่างกายสามารถสร้างคอลลาเจนได้เร็วขึ้น
- ถั่วลันเตา มีกรดอัลฟาไลโปอิคที่มีคุณสมบัติช่วยผลิตกลูต้าไธโอน และยังมีสารไฮยารูลิคที่จะช่วยในการชะลอริ้วรอยก่อนวัย
กลูต้าไธโอน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความแก่ ช่วยขับสารพิษ แล้วยังถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ เป็นยาใช้รักษาโรคโรคได้ แต่หากมีอายุมากขึ้นกลูต้าไธโอนในร่างกายเราก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย แต่ก็มีนักวิจัยพบว่าตรวจพบสารกลูต้าไธโอนปริมาณมากในกระแสเลือดของผู้สูงอายุที่มีอายุยืนและแข็งแรง ดังนั้นคนที่มีอายุยืนก็เพราะในร่างการมีกลูต้าเยอะ