เมืองเล็กๆในหุบเขา ฟู๋หรงเจิ้น Furong Zhen หูหนาน จีน
เมือง ฟู๋หรงเจิ้น Furong Zhen (芙蓉镇) อยู่ในเขตหย่งชุ่น เขตปกครองตนเองชนชาติถู่เจียและม้งซ่างซี Yongshun County in Xiangxi (永顺县 湘西州) ทางทิศตะวันตกของมณฑลหูหนาน Hunan
หลายคนใช้เป็นเมืองที่แวะเป็นทางผ่านของทัวร์หลยกรุ๊ปที่มาจาก จางเจียเจี้ย แล้วไปเฟิ่งหวง เพราะจริงๆ แล้วเมืองนี้เป็นเมืองโบราณที่ขนาดเล็กมาก เดินสองสามชั่วโมงก็ทั่วแล้ว
เมืองฟู๋หรงเจิ้น นี้มีประวัติอันแสนยาวนานกว่า 2,000 ปี โดยเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชนกลุ่มน้อยที่มีชื่อว่า ถู่เจีย เดิมมีชื่อว่า หวังชุน Wangcun (王村) แต่ภายหลังในปี พ.ศ. 2550 ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อที่เรียกในปัจจุบันเพราะเคยมีการถ่ายทำภาพยนตร์ที่มีชื่อเรื่องเดียวกันนี้ ในปีค.ศ. 1986 โดยชื่อภาษาอังกฤษของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวคือ Hibiscus Town ภาพยนตร์ดังกล่าวเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลมากมายรวมทั้งรางวัลภาพยนตร์ดีเด่นในปี ค.ศ. 1987 อีกด้วย ความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของเมืองก็คือน้ำตกที่อยู่ใจกลางเมือง ถ้ามองจากฝั่งตรงข้ามจะดูเสมือนว่าเมืองตั้งอยู่บนหน้าผาที่มีน้ำตกไหลอยู่ข้างล่าง น้ำตกนี้มีขนาดกว้างประมาณ 40 เมตร และสูง 60 เมตร สามารถเดินผ่านด้านหลังม่านน้ำตกได้
มาอย่างไร?
ข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตก็หาไม่ค่อยได้เกี่ยวกับที่นี่ เน้นการถามไถ่เอา ที่พักต่างก็ไม่มีข้อมูล ให้ทางโฮสเตลที่พักในจางเจียเจี้ยช่วยจองให้จากเว็บไซต์ของจีน แล้วเราก็จ่ายเงินให้กับคนที่ช่วยจองให้อีกที
ถ้ามาจากจางเจียเจี้ย จะมีรถวิ่งตรงมาถึงที่ ฟู๋หรงเจิ้น โดยออกจากสถานีรถทุกๆ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่ 07:00 – 18:00 น. ใช้เวลาเดินทาง ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถ 25 หยวน รถมินิบัสเล็กๆ ไม่ใช่รถบัสคันใหญ่ จอดแวะรับส่งคนตลอดระหว่างทาง
ส่วนถ้าคนที่ไม่ได้เดินทางมาจากจางเจียเจี้ยนั้น ส่วนใหญ่แล้วเขาจะตั้งต้นมาจากจี๋โช่ว Jishou (吉首) ซึ่งอ่านข้อมูลมาว่าเมืองนี้มักจะใช้เป็นเมืองตั้งต้นสำหรับการเที่ยวชมเมืองโบราณต่างๆ ในมลฑลหูหนาน ถ้านั่งรถจากจี๋โช่วใช้เวลา 2 ชั่วโมง 23 หยวน มีรถออกเรื่อยๆ
พอเดินทางมาถึง ดูตำแหน่งจากแอพแผนที่ในโทรศัพท์แล้ว (ที่จีน Google Map ใช้ไม่ได้ต้องใช้แอพอื่น ยกเว้นเปิด VPN มา) สถานที่ที่เราจะไปคือเมืองโบราณฟูหร๋งเจิ้นนี้อยู่ห่างไปจากสถานีรถประมาณกิโลกว่าๆ คือ ถ้าเดินก็ได้
มีคนมาถามๆ ว่าต้องการจะไปฟู๋หรงเจิ้นไหม? ตอนแรกก็กล้าๆ กลัวๆ คือ กลัวโดนหลอก แต่เห็นมีคนจีนที่นั่งรถมาด้วยตอบตกลง และค่าโดยสารก็แค่ 2 หยวน เราก็เลยตอบตกลงขอไปด้วยเช่นกัน รถที่ขับไปส่งนั้นก็เป็นรถเก๋งธรรมดา และเขาก็จะพาเราไปส่งไว้ที่ปากทางเข้าฟู๋หรงเจิ้น ที่มีลานจอดรถ และบอกว่าให้ติดต่อโรงแรมให้มารับ
เมื่อลงจากรถก็เลยโทรศัพท์หาโรงแรมที่ได้จองไว้ รอแป๊บเดียวก็มีคนขี่มอเตอร์ไซค์มารับ แล้วเขาก็ถามว่าซื้อบัตรเข้าชมเมืองแล้วยัง เลยบอกว่ายัง เขาเลยช่วยพาไปซื้อให้ ข้อดีคือ ถ้าซื้อเองต้องเสีย 110 หยวน แต่ถ้าเป็นแขกโรงแรม เขาช่วยซื้อให้ก็จะเหลือแค่ 70 หยวน ถามว่าจะไม่ซื้อได้ไหม? ก็ได้ แต่จะมีจุดที่เขาตั้งด่านไว้สำหรับตรวจบัตร คือ ถ้าจะไปถ่ายรูปน้ำตกสวยๆ หรือเดินลอดน้ำตก ต้องซื้อบัตร ไม่ซื้อบัตรก็ผ่านบริเวณดังกล่าวไม่ได้
นั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์แป๊บเดียว (จริงๆ ) ก็มาถึงที่พัก สำหรับที่พักที่ได้จองไว้มีชื่อว่า Tusi Bieyuan Hotel (土司别院) ตอนที่จองไม่ได้คิดอะไรมาก เน้นราคาไม่แพงมากและอยู่ในเมืองเก่า พอมาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างดี เนื่องจากมาถึงเร็ว พนักงานบอกว่าห้องยังไม่พร้อม และเนื่องจากห้องไม่เต็มเขาเลยอัปเกรดห้องให้เป็นห้องที่สามารถชมวิวน้ำตกได้ เราก็ขอบอกขอบใจเขาใหญ่ ขอบอกว่าที่นี่ให้การต้อนรับดีมากๆ อบอุ่นสุดๆ ตอนแรกคิดว่าสงสัยเราเป็นชาวต่างชาติหรือเปล่า เพราะที่นี่มาแล้วไม่เห็นฝรั่งเลย แต่ตอนหลังก็มาเห็นว่าเขาก็ดูแลลูกค้าที่มาพักที่เป็นชาวจีนดีเหมือนกัน
นี่คือรูปด้านหน้าของร้านที่จองที่พักค่ะ นอกจากจะมีห้องพักแล้วยังมีขายของต่างๆ ด้วย
พนักงานที่ชงชาให้เราดื่ม
จากนั้นเขาก็เชิญให้เรานั่งพักชิลๆ ก่อน และเขาก็ชงชาให้ชิม ที่ว่าชงชานี่ แบบว่าชงชาแบบมีพิธีรีตองตามธรรมเนียมจีนเลย คือ ต้องต้มน้ำเดือด แล้วล้างภาชนะต่างๆ ก่อน จากนั้นค่อยชง ให้ชิมชาหลายประเภทมาก
ถู่ ซือ เหล ฉา Tusi Lei Cha (土司擂茶) เป็นชาท้องถิ่น รู้สึกไม่เหมือนดื่มชาเลย เพราะหน้าตาและรสชาติก็ผิดแผกแตกต่างจากชาปกติธรรมดาทั่วไป ในถุงใหญ่จะมีซองเล็กๆ ที่แตกต่างกัน 2 ซอง ให้เทรวมผสมกัน แล้วเทน้ำร้อนใส่ ส่วนผสมของชานี้มีธัญพืชและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่างๆ เช่น งา ถั่วลิสง ถั่วเหลือง ยาจีน ฯลฯ 4 ถุง 100 หยวน (ปกติขาย 3 ถุง 100 หยวน)
ออกจากโรงแรมเดินทางไปซ้าย เดินไปแป๊บนึงจะมีทางบันไดเดินลง เป็นทางที่เดินไปน้ำตกได้ เดินลงมานิดนึงก็จะเห็นด่านตรวจบัตร เมืองนี้อย่างที่กล่าวขนาดเล็ก
หาร้านอาหารข้างทางกิน ก๋วยเตี๋ยวเนื้อชามละ 10 หยวน ขนมขบเคี้ยวที่ขึ้นชื่อของที่นี่คือ เต้าหู้ข้าว เรียกว่า หมี่ โต้ว ฝู (米豆腐) ราคา 5 หยวน และ เฮา เฉ่า ปา Hao Cao Ba (蒿草粑) ราคา 2 หยวน จะเห็นว่าทั้งเมืองมีขายทั้งสองอย่างนี่เยอะมาก แต่ไปนั่งกินที่ร้านหมายเลข 113 เพราะดูแล้วร้านนี้คนเข้าเยอะ เลยตัดสินใจตามคนหมู่มากดู เต้าหู้ข้าว กินแล้วรู้สึกเฉยๆ จืดๆ ไม่ประทับใจ แต่ขนมอีกอัน คือ เกา เฉ่า ปา นี่ รู้สึกอร่อยดี เหมือนเป็นแป้งแล้วยัดใส้หวานๆ
ตกค่ำอาหารเย็น ขี้เกียจไปหากินที่อื่น เพราะที่พักพนักงานก็น่ารักเหลือเกิน เลยตัดสินใจฝากท้องที่นี่ ขึ้นไปชั้นสอง เนื่องจากไม่ได้กินข้าวมาแล้วหลายมื้อ เพราะส่วนใหญ่ฝากท้องกับก๋วยเตี๋ยวเป็นหลัก เลยอยากกินข้าวขึ้นมา
กินข้าวเย็นเสร็จ ออกไปเดินย่อยอาหาร กะว่าจะไปนั่งจิบเหล้าชิลๆ เข้าไปร้านนึงร้องคาราโอเกะดังมาก อยู่แป๊บเดียวรีบออก เพราะไม่ใช่สไตล์ แล้วค่อยๆ เดินทอดน่องกลับมายังโรงแรม ที่เคาน์เตอร์มีลูกค้าสามสี่คนนั่งอยู่ พนักงานก็ชวนให้เรามานั่งด้วย พร้อมแนะนำให้ลูกค้าคนอื่นว่าเป็นแขกที่มาจากประเทศไทย ที่นี่กลางคืนสงบเงียบ ไม่มีอะไรให้ทำ ดีกว่ากลับห้องไปนอนเฉยๆ เลยตัดสินใจนั่งคุย จนเวลาล่วงเลยไป มีแขกคนนึงบ่นเริ่มหิวแล้ว เขาเลยชวนกันกินมื้อดึก ที่จีนบางทีนอกจากอาหาร 3 มื้อ ตามปกติธรรมดาแล้ว บางทีเค้าจะมีมื้อดึกอีก เรียกว่า เซียว เย่ (宵夜) คล้ายๆ กับเป็น Night Snack จนถึงตีหนึ่ง
https://pantip.com/topic/36519291