• November 7, 2017
    บางทีถ้ามีควอนตัมคอมพิวเตอร์ขึ้นมา เหรียยพวกนี้อาจจะไม่มีค่าขึ้นมาเลยก็ได้
    แต่ก็อีกนานเลยละครับ จะถึงจุดนั้น

    คุณอาจรู้แค่เศษเสี้ยวหนึ่งของ Bitcoin หรือ Cryptocurrencies เหรียญอื่นๆ ครับ

    เพราะจริง แม้ทุกเหรียญ จะใช้เทคโนโลยี Blockchain ที่เป็น Decentralized ซึ่งแตกต่างจากธนาคาร หรือระบบการเงินอื่นที่เป็นแบบ Centralized

    แต่ที่มากกว่านั้นคือ การทีนักพัฒนาระบบหลัก Core Developer ของ Bitcoin และ เหรียญอื่นๆ มีการพัฒนาตลอดเวลาครับ

    แม้ปัจจุบัน จะไม่มี quantum computer ก็ตาม แต่ต่อให้มี นักพัฒนาก็เขียนระบบ ให้สอดคล้อง และป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ครับ

    และอีกอย่างที่คุณไม่รู้เลยก็คือ ค่า Diff ของแต่ละเหรียญ เป็นค่าความยากในการขุดเหรียญครับ ซึ่งค่า Diff นี้จะแปรผันไปตามจำนวนของเครื่องขุด และกำลังขุดของอุปกรณ์ที่ขุด ทั้งหมด ของเหรียญนั้นๆ

    เช่น หากมีเครื่องขุด 10,000 เครื่อง ค่า Diff ก็จะปรับให้เหมาะสมกับจำนวนนี้ หากเพิ่มเป็น 100,000 เครื่อง ค่า Diff ก็จะเพิ่ม ทำให้ความยากในการขุดมากขึ้น ได้เงินน้อยลง ไม่ใช่ว่ามีเครื่องมากๆ ในระบบใหญ่ๆ ทั่วโลก แล้วจะได้เงินมาก

    มันมีค่า Difficulty มาเกี่ยวข้องครับ

    ยกตัวอย่าง

    Bitmain Antminer D3 ก่อนปล่อยตัว เครือ่ง ASIC ตัวนี้ ทางผู้ผลิต Bitmain บอกว่า เครื่องนี้ มีกำลังขุด สูงถึง 17 GH/S ซึ่งสูงมาก เอาง่ายๆ แค่คอม CPU Core i7 4.0 ยังแรงแค่ 200 H/S ย้ำ 200 H/S

    และทาง Bitmain ยังผลิต D3 ที่เพิ่มแรงขุด เป็นรุ่น 19 GH/S ออกมาด้วย อีกทั้ง เดือนธันวาคม ก็จะมีเจ้า A5 ที่มีกำลังขุด 32 GH/S ออกสู่ตลาด เพื่อขุดเหรียญ DASH ถ้าออกมาจริง Diff ของ Dash คงพุ่งกว่านี้อีกมาก

    แค่ D3 ปล่อยมา 2-3 ลอต Diff พุ่งจาก 1 ล้าน เป็น 23 – 25 ล้านแล้ว ยิ่ง Diff พุ่งมากเท่าไหร่ รายได้ต่อวัน คนที่ใช้ ASIC ก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็ต้องไปแข่งกับค่าไฟละครับ ที่ D3 ใช้ไฟ เดือนละ 3,500 บาท ใช้ไฟ 1,000 – 1,200 Watts

    ต่างคนแย่งกันซื้อ D3 เพราะคำนวณแล้วน่าจะได้ วันละ 7,000 บาท

    เจ้่า D3 มันขุดเหรียญ DASH

    พอปล่อยของให้ลูกค้า ลอตแรก กันยายน

    วันแรก คนซื้อขุดได้วันละ 4,000 บาท

    ผ่านไป 1 สัปดาห์ ขุดได้ วันละ 2,000 บาท

    ผ่านไป 2 สัปดาห์ ขุดได้ เหลือ วันละ 1,000 กว่าบาท

    ผ่านไป 1 เดือน ขุดได้ เหลือ วันละ 600 กว่าบาท

    ตอนนี้ 7/11/2017 ขุดได้เหลือ วันละ 200 – 300 บาท

    ฉะนั้น ถ้ามี quantum computer เกิดขึ้น แล้วมาขุด เหรียญไหน ค่า Diff จะพุ่งมากๆ และคนอื่นที่ใช้คอมพิวเตอร์ Rig หรือ ASIC ขุดก็จะไม่คุ้ม ก็หยุดขุด ส่วนเจ้าของ quantum computer ก็ขุดไม่คุ้ม เพราะทำให้ Diff เพิ่ม

    ท้ายสุด คนที่มี quantum computer ก็จะหยุดขุด Diff ก็จะลด คนขุด ก็ทะยอยกลับมาขุดเหรียญนั้นต่อ ระหว่างที่ Diff ของเหรียญนั้น เพิ่มมาก ก็ย้ายไปขุดเหรียญอื่น

    นอกจากนี้แล้ว quantum computer จะใช้งานบน proof of work ได้เท่านั้น กรณีเป็น proof of stake มันไมใช้คอมแรง ไม่ใช้การ์ดจอคอม ไม่ใช่ ASIC ใช้แค่คอมธรรมดา หลักการ proof of stake คือ ให้นักตีเหล็ก Validator มาทำงานแทนนักขุด Miner

    Validator ไม่จำเป็นต้องใช้คอมแรง Rig หรือ ใช้ ASIC ทำงานอีกต่อไป เพราะทาง Vitalik เจ้าของเหรียญ Ethereum เห็นว่า มันใช้พลังงานไฟฟ้าเยอะ เลยพัฒนาระบบ Proof of Stake ให้ประหยัดพลังงาน

    ใครจะเริ่มตรจสอบธุรกรรมของ ETH เพื่อยืนยันธุรกรรม ก็ให้เอาเงินโอนเข้าระบบ Smart Contrast ของ ETH ก่อน แล้วค่อยเป็น Validator ตรวจสอบ กรณี Validator คิดจะโกงระบบ ก็จะถูกยึดเงินที่มัดจำไว้ นั่นเอง

    และระบบ Proof of Stake นี้ ต้องให้มี quantum computer ก็ไร้ประโยชน์ เพราะมันไม่ได้ใช้กำลัง แรงขุดมากๆ เหมือนอย่าง Proof of Work นั่นเอง

    และยังมีอีกเรื่อง คือ การโจมตี 51% หรือ 51% Attacking

    กรณี กลุ่มคน หรือ บริษัทนักพัฒนา เครื่องขุด อะไรก็ตาม ที่มีกำลังขุดมหาศาล และสามารถ มีกำลังขุด มากถึง 51% ขึ้นไป อาจจะใช้คอมจำนวนมากๆ หรือ สร้างเครื่อง ASIC จำนวนมากๆ แล้วใช้กำลังขุดเหรียญใด เหรียญหนึ่ง แล้วสามารถ มีกำลังขุดระดับ 51% ของเหรียญนั้น จะทำให้เจ้าของกำลังขุด แทรกแซง ราคาเหรียญนั้นๆ หรือ ครอบครองเหรียญนั้นๆ ได้อย่างเบ็ดเสร็จ

    นักพัฒนาจึง พัฒนาระบบป้องกัน 51% ไว้แล้วนั่นเอง

    ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไร กับการป้องกัน quantum computer ไปด้วยในตัว เพราะระบบจะไม่ให้มีการโจมตีลักษณะนี้ แต่แม้เราไม่อ้างถึงเทคโนโลยี การป้องกันการโจมตี 51% ซึ่ง แต่ละเหรียญมีระบบป้องกันตัวนี้แล้ว ก็ที่ผมบอก ค่า Diff มันจะทำให้ทุกอย่าง แปรผันไปตามกำลังขุด นั่นเอง



เวอไนน์ไอคอร์ส

ประหยัดเวลากว่า 100 เท่า!






เวอไนน์เว็บไซต์⚡️
สร้างเว็บไซต์ ดูแลเว็บไซต์

Categories


Uncategorized