• September 18, 2021

    แอสตาแซนธิน

    แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) สารต้านแก่ ที่สุดของสารต้านอนุมูลอิสระ
    เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้
    ได้จากแหล่งอาหารที่มีสีแดง เช่น เนื้อปลาแซลมอน กุ้ง เปลือกปู เปลือกกุ้งมังกร
    พบมากสุด ในสาหร่ายสีแดง สายพันธุ์ ฮีมาโตคอคคัส พลูวิเอลิส (Heamatococcus  pluvialis)
    แอสตาแซนธิน เป็นสารต้านอนุมุลอิสระที่อยู่ในกลุ่มของแคโรทีนอยด์ มีลักษณะเป็นสารสีแดงที่ละลายได้ดีในไขมัน และด้วยสูตรโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษ จึงมีความสามารถในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ได้ทั้งภายในและภายนอกได้ทุกส่วนทั่วร่างกาย จึงมีคุณลักษณะที่เหนือกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่นๆ เป็น “Nature’s Most Powerful Antioxidant” (ที่สุดของสารต้านอนุมูลอิสระ)

    งานวิจัย
    กิน 4mg/d 6week บำรุงผิวได้อย่างมีนัยสำคัญ
    เรียบเนียน ริ้วรอยลด ผิวชุ่มชื้น ผิวยืดหยุ่น

    แอสตาแซนธิน (Astaxanthin)
    แรงกว่าวิตามินอี 500 เท่า
    แรงกว่าชาเขียว 560 เท่า
    แรงกว่าโคคิวเทน 800 เท่า
    แรงกว่าเรสเวอราทรอล 3000 เท่า
    แรงกว่าวิตามินซี 6000 เท่า

    Resveratrol (เรสเวอราทรอล)

    สารกลุ่ม Polyphenol พบได้มากใน ..
    – ผักไผ่ญี่ปุ่น (Polygonum cuspidatum) องุ่น และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เช่น บลูเบอร์รี่ แครนเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่
    – ไวน์แดง
    Resveratrol มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ จึงลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้
    สาร Resveratrol ลดการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง และยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งหลายชนิดในจานเพาะเชื้อได้ เช่น เซลล์มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งตับ เป็นต้น  ผลการศึกษาในคนยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่ามีผลต่อการรักษามะเร็งโดยตรง

    อนุมูลอิสระ (Free Radicals หรือ oxidants)) ต้นเหตุหนึ่งที่นำไปสู่การเกิดโรคต่าง ๆ เช่น
    โรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกาย ความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย รวมไปจนถึงเซลล์ผิว เกิดริ้วรอย แก่ก่อนวัย

    อนุมูลอิสระ (Free Radicals) ถูกสร้างขึ้นโดยร่างกายของเรา จากกระบวนการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน ขณะเดียวกันจะเกิดอนุมูลอิสระขึ้นด้วย เสมือนของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม การหายใจเข้าในร่างกาย ออกซิเจนก็จะถูกเปลี่ยนเป็นอนุมูลอิสระด้วยหากร่างกายมีการสร้างสารอนุมุลอิสระที่มากเกินไป จนขาดความสมดุล อนุมูลอิสระเหล่านั้นจะกลับมาทำร้ายเซลล์ต่างๆของร่างกายเราได้ จนนำไปสู่โรคต่างๆ
    มลพิษในอากาศ ฝุ่นละออง ควันบุหรี่ ไอเสียรถยนต์ โรงงานอุตสาหกรรม รังสียูวีในแสงแดด อาหารปิ้งย่าง ความเครียดจากการทำงาน ล้วนกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น และส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพได้
    สาเหตุของริ้วรอยก่อนวัย จึงหนีไม่พ้นจากผลของอนุมูลอิสระที่มีมากเกินไป
    การชะลอวัย (Anti-Aging ) ด้วยสารต้านอนุมุลอิสระ (Anti-oxidant) จับอนุมูลอิสระทำให้อนุมูลอิสระคงตัว ไม่ไปทำลายเซลล์ในร่างกาย ระดับการถูกทำลายจะช้าลง ซึ่งก็เป็นการชะลอความชราอีกวิธีหนึ่ง โดยร่างกายสามารถผลิตสารต้านอนุมูลอิสระได้หลายชนิด แต่เพราะความเสื่อมซึ่งเกิดขึ้นตามวัย การผลิตสารต้านอนุมูลอิสระดังกล่าวจะลดน้อยลง ประกอบกับเผชิญอนุมูลอิสระจากภายนอกอีกหลายทิศทางนั้น เราจึงควรทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เพื่อปกป้องความเสื่อมต่างๆของร่างกาย

    Astaxanthin มีประโยชน์ได้สูงที่สุด ควรทานให้ได้วันละ 12 mg.
    1. เสริมสุขภาพสมอง โดยเฉพาะการป้องกันโรคอัลไซเมอร์ในวัยชรา เพราะ Astaxanthin ช่วยเสริมการทำงานของเซลล์สื่อประสาทในสมอง
    2. ป้องกันโรคหัวใจ โดยป้องกันการอักเสบภายในหลอดเลือด ซึ่งทางการแพทย์ชี้ว่าเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจในปัจจุบัน
    3. ช่วยให้ผิวสวย Astaxanthin ช่วยเสริมสุขภาพให้ผิวโดยตรง โดยพบว่าการทาน Astaxanthin เป็นประจำช่วยลดปัญหาริ้วรอยจากความชรา ช่วยให้ผิวเรียบเนียน และช่วยให้ผิวเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น
    4. ป้องกันมะเร็ง ด้วยฤทธ์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงช่วยลดการอักเสบภายใน ป้องกันมะเร็งให้ทั้งระบบของร่างกาย
    5. เสริมการออกกำลังกาย โดยจากงานวิจัยพบว่า Astaxanthin ช่วยให้ร่างกายมีความเสี่ยงลดลง เพราะกล้ามเนื้ออักเสบจากการออกกำลังกาย
    6. เพิ่มสมรรถณภาพของเชื้ออสุจิ ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเสปิร์มใหม่ เพิ่มโอกาสให้อสุจิผสมพันธุ์และนำไปสู่การตั้งครรภ์ได้ง่ายขึ้น
    7. เสริมสุขภาพการมองเห็น ช่วยป้องกันเซลล์เรติน่าจากการอักเสบ และช่วยลดความเมื่อยล้าของสายตาจากการทำงานหนักได้

    Astacurmin จาก Interpharma
    AstaReal จาก megawecare

    Astax_1.jpg (500×500)
    astacurmin-new-02.png (1000×750)

    Astaxanthin (แอสตาแซนทิน) เป็นหนึ่งในสารประเภทแคโรทีนอยด์ (Carotenoid) ในธรรมชาติ ที่ทำให้เกิดสีแดงหรือสีชมพูในพืชหรือสัตว์ ซึ่งมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ช่วยป้องกันการทำลายเซลล์และกระบวนการออกซิเดชั่นที่มีผลทำให้เกิดริ้วรอยและการเสื่อมของเซลล์ก่อนวัยอันควร ใช้เป็นอาหารเสริมในการดูแลสุขภาพของดวงตาและหัวใจ ลดการอักเสบทั่วร่างกาย และช่วยในเรื่องของผิวพรรณ  

    คำเตือนของการบริโภค Astaxanthin

    • ห้ามใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของ Astaxanthin ในสตรีตั้งครรภ์หรือสตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร เนื่องจากยังไม่มีผลการวิจัยรับรองถึงการนำไปใช้อย่างปลอดภัย
    • ผู้ที่ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ กระดูกพรุน แคลเซียมต่ำ ฮอร์โมนพาราไทรอยด์ผิดปกติ ฮอร์โมนผิดปกติ ความดันโลหิตผิดปกติ ไม่ควรกิน

    ปริมาณการกิน Astaxanthin

    Astaxanthin มักพบในปลาแซมอน กุ้ง เคย ล็อบสเตอร์ สาหร่ายบางชนิด โดยเฉพาะสาหร่าย ฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส (Haematococcus Pluvialis) ปริมาณ Astaxanthin ที่แนะนำต่อวัน 4-12 mg

    ปริมาณ Astaxanthin

    • เคย 20 PPM (part per million)
    • กุ้ง 1,200 PPM
    • ยีสต์ (Phaffia Yeast) 10,000 PPM
    • สาหร่าย ฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิส 40,000 PPM

    การบริโภค Astaxanthin

    4-12 มิลลิกรัม/วัน ขึ้นอยู่กับผลลัพธ์ที่ต้องการ
    4 มิลลิกรัมต่อวันมีผลในการช่วยลดการอักเสบได้ดี
    12 มิลลิกรัมต่อวันมีส่วนช่วยในการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระสำหรับผู้ที่ต้องการในปริมาณมากขึ้น
    Astaxanthin เป็นสารแคโรทีนอยด์ที่ละลายได้ดีในน้ำมัน จึงควรมีการบริโภคอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันจะช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดีขึ้น

    ปริมาณที่เหมาะสมของการรับประทาน Astaxanthin ยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อายุ สุขภาพ สภาวะร่างกาย

    Astaxanthin (แอสต้าแซนธีน) ที่ได้ชื่อว่าเป็นราชินีแห่งสารต้านอนุมูลอิสระ

    1.ด้านสายตา

    นาน 4 สัปดาห์ ช่วยป้องกันตาแห้ง ตาอ่อนล้า ลดอาการเจ็บตา ช่วยปัญหาด้านการมองเห็น เช่น อาการมองไม่ชัด นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังดวงตาอีกด้วย ทำให้ดวงตามีสุขภาพที่ดี

    2. ด้านความจำ

    อายุที่เพิ่มมากขึ้นมีความสัมพันธ์กับการเกิดปัญหาด้านความจำ เกิดอาการหลงลืมได้ 6 – 12 มิลลิกรัม 3 เดือน ช่วยเพิ่มการจดจำ และอาการหลงลืม

    3.ด้านความเจ็บปวด บริเวณข้อและกล้ามเนื้อ

    4 – 12 มิลลิกรัม 2 – 3  สัปดาห์ ลดความเจ็บปวดบริเวณข้อเข่าและกล้ามเนื้อได้
    12 มิลลิกรัม 8 สัปดาห์ ช่วยให้ผู้ป่วยโรครูมาตอยด์มีอาการที่ดีขึ้น ลดอาการปวดต่างๆ ได้ รวมทั้งไม่เกิดผลข้างเคียงต่างๆ เมื่อต้องรับประทานร่วมกับยาแก้ปวดที่ผู้ป่วยรับประทาน

    ด้านหัวใจ

    ช่วยลดระดับไขมันเลว (LDL) ไตรกลีเซอไรด์และคลอเรสเตอรอล ซึ่งเป็นไขมันที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจตามมาในกรณีที่มีปริมาณสูง
    6 – 18 มิลลิกรัม 2 สัปดาห์ ช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไขมันได้

    wy.jpg (960×958)
    a7ad49019a9ecb2a8537fb14700eb876 (1024×1024)


เวอไนน์ไอคอร์ส

ประหยัดเวลากว่า 100 เท่า!






เวอไนน์เว็บไซต์⚡️
สร้างเว็บไซต์ ดูแลเว็บไซต์

Categories


Uncategorized