1.การพูดในที่สาธารณะ (Be a Good Public Speaker)
Warren Buffett ตำนานนักลงทุนในหุ้นอันดับ 1 ของโลก เจ้าของบริษัท Berkshire Hathaway ปัจจุบันมีทรัพย์สินอยู่ที่ 80,000 ล้านเหรียญฯ (2.49 ล้านล้านบาท) ได้เล่าว่า เมื่อก่อนเขาเป็นคนที่พูดในที่สาธารณะไม่ค่อยเก่ง หรือถ้าเรียกให้ถูกน่าจะเรียกว่าห่วยขั้นเทพเลยก็ว่าได้ ซึ่งเขาตระหนักได้ว่า ในการทำธุรกิจนั้น จำเป็นที่จะต้องใช้ทักษะการพูดคุย การเจรจากับผู้คนต่าง ๆ อย่างมากมาย และหากเขายังไม่รีบแก้ไขเรื่องการพูดของเขาแล้วล่ะก็ มันก็จะไม่มีทางหายขาดอย่างแน่นอน
กระทั่งเขาได้พบโฆษณาบนหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่งที่ลงโฆษณาสอนเกี่ยวกับการพูดในที่สาธารณะ โดยเฉพาะการพูดในเชิงธุรกิจกับนักธุรกิจ ที่มีชื่อคอร์สว่า “Public Speaking and Influencing Men in Business” ที่สอนโดย Dale Carnegie ที่ถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาตนเองโดยเฉพาะในด้านการสร้างและสานความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน เจ้าของหนังสือขายดีระดับขึ้นหิ้งอย่าง How to win friend and influence people” หรือ “วิธีชนะมิตรและจูงใจผู้คน” ที่แม้ว่าเนื้อหาที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1936 หรือกว่า 83 ปีที่แล้ว แต่เนื้อหายังคงสามารถใช้ได้จวบจนถึงปัจจุบัน
โดย Warren Buffett ได้บอกเอาไว้ว่า หากเขาไม่ได้ลงเรียนในคลาสนั้น ชีวิตเขาในปัจจุบันจะต้องแตกต่างจากที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน ซึ่งคุณจะสังเกตความสำคัญที่ผมมีต่อหลักสูตรของ Dale Carnegie ได้เมื่อคุณเดินทางไปที่ออฟฟิศของผม คุณจะพบใบประกาศนียบัตรที่ได้รับมอบหลังจากเรียนจบหลักสูตร Public Speaking ของ Dale Canegie แต่คุณจะไม่พบใบประกาศนียบัตรที่ผมเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดังต่าง ๆ เลย
2.เรียนรู้วิธีปิดการขาย (Learn How to Close sale)
Dan Lok เทรนเนอร์และที่ปรึกษานักธุรกิจร้อยล้าน ที่สร้างฐานะขึ้นมาจากศูนย์ได้ด้วยตนเอง ที่มีทรัพย์สิน ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 2,400 ล้านบาท ได้สอนเอาไว้ว่า หาก ณ ตอนนี้ชีวิตของคุณหรือธุรกิจของคุณกำลังติดแหงกอยู่กับที่ไม่ไปไหน เขาเชื่ออย่างสุดใจว่า ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่คุณกำลังเผชิญอยู่จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องนี้อย่างแน่นอน นั่นก็คือ คุณไม่สามารถปิดการขายได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่ Dan Lok เคยเผชิญอยู่เมื่อตอนที่เขายังยากจน ซึ่ง Dan Lok ได้บอกเอาไว้ว่า หากคุณเรียนรู้และฝึกฝนวิธีการปิดการขายได้อย่างเชี่ยวชาญแล้วล่ะก็ คุณจะไม่มีทางกลับไปเป็นคนถังแตกอีกเลยตลอดชีวิต เพราะหัวใจสำคัญที่สุดของการทำธุรกิจนั้นก็คือการปิดการขาย ดังนั้นหากยังไม่มีการขายเกิดขึ้น ก็ถือได้ว่าคุณยังไม่ได้ทำธุรกิจ หรือหากพูดถึงชีวิตส่วนตัว มันก็คือการขายในรูปแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น หากตอนนี้คุณยังโสด แสดงว่าคุณไม่สามารถปิดการขายกับผู้หญิงหรือผู้ชายคนนั้น ๆ ได้ หรือหากคุณเป็นหัวหน้าแล้วทีมงานไม่ยอมทำตามคำสั่งคุณ นั่นก็หมายถึงคุณไม่สามารถปิดการขายกับทีมงานได้
ซึ่งศาสตร์ในการปิดการขายนั้น มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ต้องใช้ร่วมกันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงที่สุด เช่น เรียนรู้ วิธีการสื่อสารกับผู้อื่น, ไอเดียใหม่ๆ, แนวคิดใหม่ ๆ
การปิดการขายนั้น พูดรวม ๆ ก็คือ การที่คุณสามารถจูงใจหรือโน้มน้าวให้คนอื่นทำในสิ่งที่คุณต้องการได้ ไม่ว่าจะเป็น เงินทอง, ความสัมพันธ์, ชื่อเสียง หรืออะไรก็ตามที
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ หากคุณมีความรู้ในเรื่องของการปิดการขาย หมายถึงคุณจะรู้ได้ว่าจะต้องสร้างเงินจากความต้องการของการตลาดยังไงได้บ้าง สรุปก็คือ คุณจะมีทักษะในการสร้างเม็ดเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา
3.รู้วิธีการดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น (Know How to Get Attention)
Grant Cardone เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์และเทรนเนอร์นักขายระดับโลก ที่ ณ ปัจจุบันมีทรัพย์สินอยู่ที่ 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 9,000 ล้านบาท
ตอนที่เขาเริ่มต้นสร้างแอคเค้าท์โซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram หรือ YouTube เขาไม่มีผู้ติดตามเลยแม้แต่คนเดียว และตัวเขาเองก็คือคนแรกที่กดติดตามตัวเอง แถมเขาเป็นพวกที่ล้าหลังมากเมื่อเทียบกับโลกอินเตอร์เน็ตในปัจจุบัน โดยเขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าจะต้องโพสต์รูปหรือวีดีโอยังไง จะต้องถ่ายเซลฟี่แบบไหน จะต้องถ่ายและตัดต่อคลิปวีดีโอยังไง แต่สิ่งเดียวที่เขามีก็คือ ความมุ่งมั่นที่ต้องการจะทำให้สถานะการเงินของเขาเติบโตขึ้น ซึ่ง Grant Cardone ได้บอกเอาไว้ว่าประตูหรือหนทางในการทำให้สถานะการเงินของคุณเติบโตมากยิ่งขึ้นก็คือ การสร้าง Attention หรือสามารถสร้างแรงดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นได้ เช่นเดียวกัน หากคุณต้องการไปสู่สวรรค์ประตูหรือหนทางของคุณอันดับแรกคือ คุณต้องตายซะก่อนคุณถึงจะไปได้ ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่ต้องการขึ้นสวรรค์แต่พวกเขากลับไม่ต้องการตายนั่นคือเรื่องจริง
การสร้าง Attention คือกุญแจสำคัญที่จะนำทางไปสู่ความมั่งคั่ง แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่ยอมที่จะสร้างมัน ไม่ยอมที่จะลงมือลงแรงหรือแลกหยาดเหงื่อแรงกายแรงใจ แม้กระทั่งเงิน ในการสร้าง Attention ขึ้นมา
ดังนั้นหากคุณต้องการที่จะทำให้สถานะการเงินมีทิศทางที่ดียิ่งขึ้น สิ่งแรกที่คุณจะต้องทำก็คือ การออกไปประชาสัมพันธ์ในตลาดให้ผู้คนรู้จักคุณ ซึ่งหากใครเคยได้ยินคำว่า ROI ที่ย่อมาจาก Return On Investment ที่หมายถึง อัตราส่วนผลตอบแทนจากการลงทุน ROI = (กำไร/เงินลงทุน) x 100
เช่น หากคุณลงทุนในการทำช่อง YouTube เป็นจำนวนเงิน 10,000 บาท แล้วสามารถสร้างผลกำไรได้ 5,000 บาท จะได้ว่า ROI = (5,000/10,000) x 100 = 50%
สรุปคือ ROI ในการทำช่อง YouTube ของคุณคือ 50% นั่นเอง
เรื่องของ ROI นั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงเลย ถ้าหากวันนี้คุณยังไม่สามารถทำให้คนอื่นรู้จักคุณได้ ไม่สามารถทำให้คนอื่นรู้จักบริษัทของคุณได้ ไม่สามารถทำให้คนอื่นรู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่าคุณกำลังขายสินค้าอะไร ไม่รู้ว่าคุณกำลังขายบริการอะไร ไม่รู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน
เพราะในวันนี้สินค้าที่ดีที่สุด ไม่ได้หมายถึงผู้ชนะ แต่ผู้ชนะก็คือ ทำให้สินค้าเป็นที่รู้จักได้มากที่สุดต่างหาก เช่น กาแฟ Starbucks ไม่ได้เป็นกาแฟที่ดีที่สุดในโลก แต่เป็นกาแฟที่คนรู้จักและเข้าถึงคนมากที่สุดในโลก หรืออย่างแฮมเบอร์เกอร์ของ McDonald ก็เช่นกัน
4.เชี่ยวชาญการประชาสัมพันธ์และการตลาด (Master PR and Marketing)
Robert Kiyosaki เจ้าของหนังสือ Best Sellers ชื่อดังระดับโลกตลอดกาลอย่าง Rich Dad Poor Dad พ่อรวยสอนลูก ปัจจุบันมีทรัพย์สินอยู่ที่ 80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือราว ๆ 2,400 ล้านบาท ได้สอนเอาไว้ว่า หากมองในภาพใหญ่ของธุรกิจแล้วล่ะก็ จะมีอยู่ 3 สิ่งที่ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีและทำได้ดีกว่าใคร ๆ ก็คือ
ลำดับที่ 1 Public Relations (PR) หมายถึง การประชาสัมพันธ์ การสื่อสารไปยังสาธารณชน เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ที่จะนำไปสู่เป้าหมายเพื่อให้ผู้คนเกิดความร่วมมือหรือมีส่วนร่วมกับแบรนด์ในที่สุด
หนังสือชุดหนึ่งที่ชื่อว่า Why We Want You to be Rich(ชวนให้คุณรวย) และ Midas Touch(ผู้ประกอบการมือทอง) ที่เขียนโดย Robert Kiyasaki และ Donald Trump
เมื่อตอนที่นักข่าวได้สัมภาษณ์เขานั้น นักข่าวพูดคำแทนเกี่ยวกับหนังสือของเขาว่า Kiyasaki Rich Dad Poor Dad and Trump นั่นหมายถึง การ PR มันประสบผลสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้คนจดจำคุณและแบรนด์คุณได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ เพราะคุณไม่สามารถจ่ายเงินให้ใครจดจำภาพลักษณ์หรือแบรนด์ของคุณได้ หากพวกเขาไม่อยากจดจำด้วยตนเอง
ลำดับที่ 2 Marketing หมายถึง การทำการตลาด โดยสิ่งที่เข้าใจได้ง่ายที่สุดก็คือ การโฆษณาเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพื่อทำให้เกิดโมเม้นท์หรืออารมณ์อยากที่จะซื้อสินค้าของแบรนด์ขึ้นมา
ลำดับที่ 3 Sales หมายถึง การขาย เพราะเมื่อแบรนด์ของคุณทำการ PR และ Marketing เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็ถึงเวลาที่จะต้องเก็บเงินจากลูกค้า ซึ่งหากคุณไม่ได้ทำในลำดับที่ 1 และ 2 มาก่อน การขายจะเป็นอะไรที่เป็นงานที่หนักมาก โดยเฉพาะคนในยุคปัจจุบันที่ต่างพากันยี้นักขาย ซึ่งคุณคงจะนึกภาพออกว่า จู่ ๆ ก็มีใครสักคนนึงมายืนขวางหน้าคุณแล้วพูดกับคุณว่า “ซื้อประกันสิ มันดีต่อคุณนะ” หากคุณไม่รู้จักแบรนด์ประกันนี้มาก่อนแถมยังไม่รู้จักเซล์คนนี้มาก่อน คุณก็จะไม่ซื้อประกันนี้ หากผู้ประกอบการสามารถทำ PR และ Marketing ได้อย่างยอดเยี่ยมแล้วล่ะก็ ที่เหลือก็แค่รอเช็คบิลกับลูกค้าได้เลย