โกดักยื่นเรื่องการล้มละลายให้กับศาล ของบริษัท อีสแมนต์-โกดัก หรือ บริษัทที่เรารู้จักในนามว่า โกดัก (KODAK)
เรา รู้จักบริษัท Kodak กันในฐานะของผู้ผลิตกล้องถ่ายรูปรวมไปทั้งฟิลม์สีและขาวดำ สมัยที่ดิฉันยังเป็นเด็ก เรียนหนังสือที่จังหวัดพิษณุโลกนั้น จำได้ว่า เวลาเดินไปโรงเรียนจะผ่านร้านถ่ายรูป มีกรอบภาพของผู้มีชื่อเสียงของท้องถิ่น ตั้งโชว์อยู่หน้าร้าน รวมไปถึงกล้องถ่ายรูปต่างๆ ที่โหลดฟิลม์ได้อย่างดี คุณพ่อเคยบอกว่า สมัยท่านยังอยู่นั้น เวลาจะถ่ายแฟล้ช จะต้องเอาแฟล๋ชไปเสียบบนกล้องถ่ายรูป ถึงจะถ่ายได้ เวลาจะถ่ายแต่ละรูปต้องระวังกันใหญ่ เพราะแฟล้ชใช้ได้รูปเดียว หรือสี่รูปนี่แหละ (จำไม่ได้) แฟล๋ชเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัส
กล้อง ถ่ายรูปที่จำได้ เรียกว่า โกดัก อินสตาเมติค จำได้ว่าสมัยตอนเกิดนั้น เขาใช้รุ่น X-15 กัน มีฟิลม์ให้โหลดเหมือนกับตลับเลย จะต้องฉีกซองหุ้มตะกั่วออกมา มีกลิ่นแปลกๆ เหมือนพลาสติคไหม้ กว่าจะถ่ายรูปกันเองอีกทีหนึ่ง ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงจะเสร็จ ดิฉันจำได้ว่า เคยถูกไล่ให้ไปอาบน้ำ แต่งตัวก่อน ถึงจะถ่ายรูปได้ แถมเสื้อผ้าจะต้องมีจีบ คอซองจะต้องเรี่ยมทุกอย่าง ผมเผ้าต้องมัดให้ดี จะถ่ายรูปทีหนึ่งก็เลยต้องเรียบร้อยเป็นพิเศษ
แต่ที่สำคัญคือ พอถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องนำเอาฟิลม์เหล่านี้ไปล้าง สมัยเด็กๆ นั้น มีทั้งสีและขาวดำเรียบร้อย ถ้าจะล้างสีจะต้องเสียค่าล้างเพิ่มขึ้น รวมไปกับค่ารูป จำได้ว่า ล้างขาวดำนั้น ไม่เสียตังค์เพิ่ม แต่รูปไม่สวยเท่าไร โดยเฉพาะรูปไอ้ด่าง หมาที่บ้าน เพราะถ่ายสีหรือขาวดำ มันก็ดูไม่ต่างกันนัก สมัยนั้น มีฟิลม์ขายอยู่ยี่ห้อเดียวคือ โกดัก มีฟิลม์ของฟูจิ เข้ามาด้วย แต่มีคนบอกว่า ของญี่ปุ่นมันเฮงซวย อย่าไปใช้มัน แล้วก็อ้างว่า รูปถ่ายออกมาแย่มาก ทำให้คนเกือบทุกคนแถบบ้านไม่เคยใช้ฟูจิกัน เพราะเสียดายว่า รูปจะออกมาไม่ดี
——————————————————————-
กลับ มาสู่ยุคดิจิตอลกันใหม่ เมื่อหวนไปคิดถึงบริษัทโกดักว่า ทำไมมันถึงมีปัญหาขนาดนี้ คำตอบก็คือว่า โกดักคิดว่าตนเองนั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่สนใจในกระแสโลกาภิวัฒน์ และยังดื้อดึงอย่างมากมายในเรื่อง นวัตกรรมใหม่ๆ ที่ออกมาท้าทายชาวโลก โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยี่ต่างๆ
โกดักไม่เคยคิดที่จะปรับ ปรุงเรื่องกล้องถ่ายรูป และยังคงขายฟิลม์สีและขาวดำอยู่ในเมื่อตอนที่กล้องดิจิตอลรุ่นเก่าๆ เริ่มมีการแพร่หลายทั่วโลก โกดักทำทุกอย่างช้า รวมไปถึงการตัดสินใจของผู้บริหารด้วย รายได้ของโกดัก รวมไปถึงส่วนสัดในการตลาดหรือ Market share นั้น ค่อยๆ ลดลงๆ ทุกปี
โก ดักมีความล่าช้าในการผลิด hardware โดยเฉพาะกล้องถ่ายรูปต่างๆ ซึ่งเมื่อเทียบกับประเทศญี่ปุ่นแล้ว เหมือนกระต่ายกับเต่าทีเดียว เรื่องนี้ ทำให้กล้องถ่ายรูปอย่าง Nikon, Canon ผลิดกล้องแบบ SLR ที่มีคุณภาพสูง (ตอนนั้นยังใช้ฟิลม์ของ Kodak กันอยู่) ก็ทำให้เกิดความชะล่าใจ จนกระทั่ง บริษัทที่ผลิดกล้องเหล่านี้ เริ่มมาค้นคว้าสนใจในเรื่องดิจิตอลแทน ทำให้กล้องถ่ายรูปแบบ SLR ธรรมดานั้น ค่อยๆ จางหายไปจากตลาด เพราะกล้องดิจิตอล เริ่มมีบทบาทที่สำคัญคือ ถ่ายรูปได้ทันทีรวมไปถึงการลบภาพด้วย ไม่จำกัดว่าจะถ่ายได้ 12, 24, หรือ 36 รูป ภาพถ่ายก็ดูดีกว่ามากนัก กล้องดิจิตอลรุ่นแรกๆ มีราคาแพงมาก ทำให้บริษัทโกดักเกิดความชะล่าใจว่า คนธรรมดาจะไม่สนใจที่ซื้อ hardware เหล่านี้ได้
ดัวยความชะล่าใจบวกความประมาท แทนที่จะเริ่มใช้ชื่อเสียงของฝ่ายตนเองในการผลิตกล้องดิจิตอลขึ้นมา โกดักกลับไปอยู่ในระบบอนุรักษ์นิยม ฝืนโลกาภิวัฒน์ เมื่อเริ่มมีสถิติการผลิตกล้องดิจิตอลมากขึ้น รวมไปถึงการโฆษณาว่า ไม่ต้องใช้ฟิลม์ถ่ายรูปกัน รวมไปถึงการเก็บรูปไว้ในไฟล์ต่างๆ ได้ ทำให้เป็นหัวใจของการขายกล้องเหล่านี้ นั่นก็คือ มีการแสดงการคำนวณว่า กล้องราคา $450 นั้น สามารถซื้อฟิลม์จากโกดักได้กี่ชุด และถ่ายภาพได้เท่าไร ช่วงสั้นอาจจะดูแพงมาก แต่เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนรูปถ่ายแล้ว การลงทุน $450-$500 เป็นเรื่องที่ดีอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการถ่ายภาพต่างๆ
แต่ ถึงกระนั้นก็ตาม Kodak ทำเป็นเพียงลดจำนวนการผลิตฟิลม์ และเริ่มการค้นคว้าวิจัยในเรื่องของกล้องดิจิตอล จนกระทั่งถึงปี 1996 ถึงจะมีกล้องดิจิตอลออกมา เป็นแบบ pocket size แต่คู่แข่งได้แซงหน้าไปแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะโลกอินเตอร์เนทมันมีแพร่หลายตั้งแต่ต้นปี 1990 เสียเวลาไปอีกหลายปีในยุคเทคโนโลยี่ โดยเฉพาะตอนใกล้เหตุการณ์ปี 2000 ซึ่งเป็นเรื่องที่แย่มากๆ
ที่เป็นอย่างนี้ เพราะว่าบริษัท Kodak เป็นบริษัทใหญ่ และมีผลิตภัณฑ์อีกหลายอย่างเช่นเครื่องถ่ายเอกสาร, เครื่องมือการแพทย์ และ เครื่องตรวจโรค มีหลายชนิดทีเดียว แต่ที่เขาขาดจริงๆ คือ การประชาสัมพันธ์ในระดับชาวบ้าน เพราะเรื่องเหล่านี้ Kodak ทะนงตัวเองว่ามีชื่อเสียงเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องโหมอะไรมากนัก
เมื่อ ตอนที่ตนเองทราบว่า market share ได้ถูกบริษัทอื่นๆ แย่งกันไปหมด มันก็เหมือนกับสายไปเสียแล้ว เพราะจะมาโหมกระแสก็คงไม่ได้ Kodak เลยต้องเปลี่ยนสถานะเป็นผู้ตาม เมื่อประมาณสิบปีที่ผ่านมา การตลาดจะย่ำแย่เอา ทุกๆ ปี จะเห็นว่า มีแต่เรื่องขาดทุน ที่เป็นอย่างนี้ เนื่องจากว่า ตนเองไม่ได้โฟกัสหรือเน้นในสิ่งที่ตนถนัด กลับไปยุ่งกับผลิตภัณฑ์อย่างอื่นอีกเยอะไปหมด
ผลต่อมาก็คือ ยุทธวิธีที่พ่ายแพ้ต่อกระแสโลกาภิวัฒน์ และอีกไม่นานก็คงมีแต่ประวัติศาสตร์ความทรงจำว่า เคยเป็นเทพเจ้าในเรื่องของการถ่ายรูป
ถึงแม้ว่า การไฟล์เรื่องล้มละลายจะเป็นเพียงการปรับปรุงองค์กรของบริษัท แต่มันทำลายชื่อเสียงที่ตนเองได้สะสมสร้างมานานนับร้อยปีทีเดียว….
—————-
เรื่อง นี้สอนให้รู้ว่า การต้านกระแสโลกาภิวัฒน์มันเป็นไปไม่ได้ จะคิดว่า ตนเองมีวัฒนธรรมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่สมควรจะเปลี่ยนแปลง โดยอ้างกฎนู้นกฎนี้ ใช้หลักการของที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า มีเกิดก็ต้องมีตาย ท่านถึงต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงในพระวินัยบางข้อที่เห็นว่าล้าสมัย เหมือนกับหลักการของชาร์ล ดาร์วินที่กล่าวไว้ว่า สิ่งมีชีวิตที่สามารถปรับตัวกับสิ่งแวดล้อมได้ มันจะเป็นสายพันธุ์ที่อยู่รอดได้
กฎหมายกฎข้อบังคับ ทุกอย่างอยู่ที่เวลา ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมต่อสถานการณ์และเวลาแล้ว การฝืนกระแสก็ทำให้เกิดความเสื่อม และ ล่มสลายไปในที่สุด เหมือนกับโลกล้อมประเทศ แล้วค่อยๆ กลืนเอาสิ่งที่ตนเองไม่สามารถปรับตัวได้นั้น ออกไปเสีย