• April 28, 2012

    เรียน”วิชาสุดท้าย”กับ “สตีฟ จ๊อบส์”

    ในวันที่บริษัทแอปเปิ้ลเปิดตัว iPhone4S โดยซีอีโอคนใหม่ “ทิม คุก” บรรดาสาวกแอปเปิ้ลต่างรู้สึกหวนคิดถึงภาพของ “สตีฟ จ๊อบส์” ในเสื้อผ้าลำลองกางเกงยีนส์ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์แอปเปิ้ล ไม่ว่าเขาจะพูดอย่างไรมันก็ดูน่าหยิบจับน่าเลื่อมใสกับการเป็น ตำนาน ผู้ก่อตั้งแอปเปิ้ลของเขา

    นอกจากความเป็นตำนานนี้ ยังรวมถึงวิธีคิดวิธีทำงานและเส้นทางของจ๊อบส์เองที่เหมือนตะเกียงของคนที่ สร้างสรรค์นวัตกรรมให้กับโลกใบนี้ และเป็นไอคอนของแรงบันดาลใจให้กับคนจำนวนไม่น้อยในโลก

    การ เสียชีวิตของจ๊อบส์ที่มีขึ้นเพียงวันเดียวหลังแอปเปิ้ลเปิดตัวสมาร์ทโฟนตัว ใหม่ เสมือนเป็นจุดจบหนึ่งของจุดเริ่มต้นใหม่ของแอปเปิ้ลด้วยเช่นกัน ในแบบฉบับที่สตีฟ จ๊อบส์เรียกมันว่า “การเชื่อมจุด”

    ประชาชาติธุรกิจ ออนไลน์ขอนำเสนอ “สุนทรพจน์” ที่ดีที่สุดและดังที่สุดของสตีฟ จ๊อบส์ ซึ่งเขาได้กล่าวถ้อยคำอันมีความหมายมากมาย ณ มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเมื่อ 12 มิ.ย.2548

    ผ่าน จากวันนั้นถึงวันนี้ 6 ปี ของสุนทรพจน์ดังบทหนึ่งแห่งยุคได้ให้แนวทางและยังเป็นเหมือน”ตะเกียง” ให้คนรุ่นหลังได้ลองอย่างที่เขาได้ “ลอง” ด้วยวลีที่เขาประกาศว่า “อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ”

    สุนทรพจน์นี้ทำให้เราเห็น ตัวตนของเขาชัดเจน ตั้งแต่ความเป็นคนนอกกรอบ กล้าลอง เชื่อในความหวัง โชคชะตา และมีวิถีคิดในเชิงพุทธและสุดท้ายแม้สุนทรพจน์นี้จะผ่านมาแล้วถึง 6 ปี ทว่ามันกลับเหมือนเป็น “คำพูดบอกลา” ได้อย่างดีที่สุดเช่นกัน

    “ความ ตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ธรรมชาติให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่”–สตีฟ จ๊อบส์กล่าว

    ประชาชาติธุรกิจแบ่งเนื้อหาของสุนทรพจน์นี้ออกเป็น 3 ช่วงของชีวิตสตีฟ จ๊อบส์ นั่นคือ การเชื่อมจุด , ความรักและการสูญเสีย, ความตาย

    เนื้อหาของสุนทรพจน์เรียบเรียงจากหนังสือ “วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน” พิมพ์โดยสำนักพิมพ์ OpenBooks

    **บทเรียนที่ 1 จ๊อบส์เรียกมันว่า “การเชื่อมจุด”

    “ผม รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มาคุยกับน้องๆทั้งหลายในวันจบการศึกษาจาก หนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก ผมเองไม่เคยเรียนจบปริญญา ตรงนี้เป็นก้าวที่ใกล้ที่สุดแล้วของผม วันนี้ผมอยากเล่าเรื่องจากชึวิตจริง

    ของผมให้น้องๆฟัง 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ แค่ 3 เรื่องเท่านั้น”

    “เรื่องแรกเป็นเรื่องของการเชื่อมจุดครับ”

    “ผม ลาออกจากมหาวิทยาลัยรีดหลังจากไปเรียนอยู่ที่นั่น 6 เดือน แต่ก็ไปนั่งเรียนต่ออีกประมาณ 18 เดือนก่อนที่ผมจะลาออกจริงๆ แล้วทำไมผมถึงลาออก?”

    “เหตุมันเกิดก่อนผมเกิด แม่แท้ๆของผมเป็นนักเรียนสาวที่จบมหาวิทยาลัยแต่ไม่ได้แต่งงาน แม่อยากยกผมให้เป็นลูกบุญธรรมของคนที่จบปริญญา ก็เลยจัดการให้ทนายคนหนึ่งกับภรรยารับอุปการะผมตั้งแต่เกิด ทีนี้คู่

    นี้ เกิดเปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายขึ้นมา คิดว่าเขาอยากอุปการะเด็กผู้หญิงมากกว่า พ่อแม่ผมก็เลยต้องรับโทรศัพท์กลางดึก หมอถามว่า ทารกเป็นเด็กชายคุณยังอยากเลี้ยงเขาอยู่รึเปล่า?”

    “พ่อแม่ผมตอบ ว่า แน่นอน ตอนหลังแม่แท้ๆของผมค้นพบว่า แม่บุญธรรมของผมไม่เคยจบมหาวิทยาลัย และพ่อบุญธรรมของผมไม่เคยจบมัธยมปลาย แม่ก็เลยไม่ยอมเซ็นเอกสารส่งตัวผม มายอมหลายเดือนหลังจากนั้น

    ก็ตอนที่พ่อแม่ผมสัญญากับเธอว่า วันหนึ่งผมจะได้เรียนมหาวิทยาลัย

    หลัง จากนั้นอีก 17 ปี ผมก็ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยจริงๆ แต่ด้วยความไร้เดียงสา ผมดันเลือกมหาวิทยาลัยที่แพงเกือบเท่าสแตนฟอร์ด ทำให้พ่อแม่ผู้ใช้แรงงานของผมต้องใช้เงินเก็บเกือบทั้งหมดเพื่อส่งผมเรียน หลัง

    จากเรียนได้ 6 เดือน ผมก็มองไม่เห็นประโยชน์ของมันอีก ผมไม่รู้ว่าผมต้องการอะไรจากชีวิต และผมก็ไม่รู้ว่าปริญญาจะช่วยหาคำตอบให้ผมได้ยังไง ในขณะที่ผมกำลังถลุงเงินที่พ่อแม่ของผมเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต

    ผม ก็เลยตัดสินใจลาออกด้วยความเชื่อว่าทุกอย่างคงโอเคในที่สุด ตอนนั้นน่ากลัวเหมือนกันนะครับ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่านั่นเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของผม นาทีที่ผมลาออก แปลว่าผมไม่ต้องไปเรียนวิชาที่ผมไม่

    สนใจอีกต่อไป และไปนั่งเรีนยแบบไม่เอาคะแนนในวิชาที่น่าสนใจแทน

    ชีวิต ของผมช่วงนั้นไม่ได้โรแมนติกหรอกนะครับ ผมไม่มีหอพักแล้ว ก็เลยต้องไปนอนบนพื้นในห้องของเพื่อนๆ ผมเก็บขวดโค้กไปแลกเงินค่าคืนขวด 5 เซ็นต์ เก็บไปซื้อข้าวกิน และทุกๆวันอาทิตย์ ผมจะเดิน 7 ไมล์จาก

    ฟาก หนึ่งของเมืองไปยังอีกฟากหนึ่งเพื่อไปกินข้าวดีๆซักมื้อที่วัดพระกฤษณะ ผมรักมันมาก การที่ผมปล่อยชีวิตไปตามความอยากรู้อยากเห็นและสัญชาตญาณ ทำให้ผมได้เจอหลายสิ่งโดยบังเอิญ ผมจะยกตัวอย่างซัก

    เรื่องนะครับ

    มหาวิทยาลัย รีดสมัยนั้นมีคอร์สสอนการคัดลายมือ ที่น่าจะดีที่สุดในประเทศ ในบริเวณมหาวิทยาลัย โปสเตอร์ทุกแผ่น ป้ายติดลิ้นชักทุกอัน ล้วนเขียนด้วยลายมือที่สวยมากๆ เพราะผมไม่ต้องไปเรียนวิชาบังคับหลังจากลา

    ออก แล้ว ผมก็เลยตัดสินใจไปเรียนคอร์สนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาเขียนกันยังไง ผมเรียนวิธีเขียนตัวอักษรแบบเซรีฟแบบซานเซรีฟ เรียนวิธีเว้นช่องไฟระหว่างตัวอักษร เรียนรู้เทคนิคการเรียงพิมพ์อันยอดเยี่ยม ล้วนเป็น

    เรื่องเกี่ยวกับ ความสวยงาม ประวัติศาสตร์ และศิลปะที่มีความลึกล้ำในแง่มุมที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจอธิบายได้ ผมรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก

    วิชานี้ดูเหมือน ไม่มีอะไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตจริงของผมได้เลย แต่อีก 10 ปี ต่อมา ตอนที่เรากำลังออกแบบคอมพิวเตอร์แมคอินทอชรุ่นแรก ความรู้เหล่านี้ก็ย้อนกลับมาใหม่ เราใส่มันลงไปในเจ้าแมคนี้หมดเลยครับ ทำ

    ให้ แมคเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกในโลกที่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม ถ้าผมไม่ได้ไปเรียนวิชานั้น ป่านนี้แมคก็คงไม่มีตัวพิมพ์หลากหลายรุปแบบ หรือตัวพิมพ์ที่เว้นช่องไฟในสัดส่วนที่เหมาะสม และเพราะวินโดวส์ใช้

    วิธี ก๊อปปี้แมคเป็นหลัก นั่นก็หมายความว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะทั่วไปก็คงไม่มีด้วย ถ้าผมไม่ลาออก ผมก็คงไม่ได้ไปนั่งเรียนวิชาคัดลายมือ และคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็คงไม่มีตัวพิมพ์ที่สวยงาม แน่นอนครับ มันเป็นไปไม่

    ได้ ที่จะเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ตอนผมเป็นนักเรียน แต่การเชื่อมจุดเป็นเรื่องง่ายดายในอีกสิบปีให้หลัง เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีต

    ไม่มีใครสามารถเชื่อมจุดจากปัจจุบัน ไปยังอนาคตได้ เราทำได้เพียงเชื่อมจากปัจจุบันไปหาอดีตเท่านั้น เพราะฉะนั้นน้องๆต้องมั่นใจว่าอะไรที่ทำอยู่ตอนนี้จะเชื่อมไปเองในอนาคต น้องๆต้องเชื่อมั่นในอะไรซักอย่างนะ

    ครับ ไม่ว่าจะเป็นสัญชาตญาณ โชคชะตะ ชีวิต กฎแห่งกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่ ความมั่นแบบนี้ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง และมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปมาก

    **บทเรียนที่ 2 ความรักและการสูญเสีย

    ผม เป็นคนโชคดีที่ค้นพบงานที่ผมรักตั้งแต่อายุยังน้อย ผมกับวอซก่อตั้งแอปเปิ้ลในโรงรถของพ่อแม่ผม ตอนผมอายุ 20 ปี เราทำงานกันหนักมากครับ ภายใน 10 ปี แอปเปิ้ลขยายจากแค่เรา 2 คน ในโรงรถ เป็นบริษัท

    มูลค่ากว่า 2,000 ล้านเหรียญที่มีพนักงานกว่า 4,000 คน ตอนนั้นเราเพิ่งเปิดตัวผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา เครื่องแมคอินทอช 1 ปีก่อนหน้าที่ผมจะอายุเต็ม 30 ปี แล้วผมก็ถูกไล่ออก ทำยังไงคนเราถึงได้ถูกไล่

    ออกจากบริษัทที่เราก่อตั้งมาเองกับมือหรือครับ?

    คือ ว่าเมื่อแอปเปิ้ลโตขึ้น เราก็จ้างคนที่เราคิดว่าเก่งมากๆมาช่วยผมบริหารบริษัท ปีแรกเหตุการณ์ก็ราบรื่นดี แต่หลังจากนั้นวิสัยทัศน์ของเราก็เริ่มแยกทางกัน จนในที่สุดเราก็ไปด้วยกันไม่ได้ เมื่อถึงจุดนั้น คณะ

    กรรมการบริษัท เลือกอยู่ข้างเขา ผมก็เลยถูกไล่ออกตอนอายุ 30 ปี แล้วก็ออกแบบเป็นข่าวดังมากด้วย ในพริบตาเท่านั้น สิ่งที่ผมทุ่มเทให้ทั้งชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของผมก็สลายไป มันเป็นเรื่องที่สะเทือนใจผมมาก

    ผมไม่รู้จะทำอะไรเป็นเวลาหลาย เดือนหลังจากนั้นผมรู้สึกว่าผมทำให้เจ้าของธุรกิจรุ่นก่อนผิดหวังรู้สึกว่า ผมทำไม้ผลัดตกตอนที่เขากำลังหยิบยื่นมันมาให้ผม ผมไปพบเดวิด แพคการ์ด กับบ๊อบ นอยซ์ เพื่อขอโทษพวก

    เขาที่ทำทุกอย่างพังพินาศ ผมเป็นตัวอย่างของความล้มเหลวที่โด่งดัง ช่วงหนึ่งผมคิดขนาดจะหนีไปจากวงการ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็เริ่มคิดได้อย่างช้าๆว่าผมยังรักในสิ่งที่ผมทำอยู่ สิ่งที่เกิดขึ้นที่แอปเปิ้ลไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนี้เลย ผมถูกไล่ออก แต่ผมยังมีความรักอยุ่ นั่นทำให้ผมตัดสินใจเริ่มต้นใหม่

    ตอนนั้นผม ไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่ปรากฎว่าการถูกไล่ออกจากแอปเปิ้ลกลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะเกิดกับผม ได้ ภาระอันหนักอึ้งจากความสำเร็จแปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกเบาสบาย เมื่อผมกลับกลายเป็นมือใหม่ที่มีความเชื่อ

    มั่นน้อยลง มันทำให้ผมมีอิสรภาพที่จะเข้าสู่ช่วงที่ผมมีความสร้างสรรค์ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต

    ใน ช่วง 5 ปี หลังจากนั้น ผมก่อตั้งบริษัทชื่อ เน็กสต์ อีกบริษัทชื่อ พิกซาร์ และตกหลุมรักผู้หญิงมหัศจรรย์คนหนึ่ง ซึ่งต่อมากลายเป็นภรรยาผม พิกซาร์สร้างภาพยนตร์ขนาดยาวที่เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่นล้วนๆ เรื่องแรกของ

    โลก คือ ทอย สตอรี่ และตอนนี้เป็นสตูดิโอแอนิเมชั่นที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก หนึ่งในเหตุการณ์พลิกผันอันน่าพิศวงคือ เมื่อแอปเปิ้ลซื้อกิจการของเน็กสต์ กลับคืนสู่แอปเปิ้ล และเทคโนโลยีที่พัฒนาที่เน็กสต์ก็

    กลายเป็นหัวใจของแอปเปิ้ลยุครุ่งเรืองในปัจจุบัน ตอนนี้ลอรีน และผมมีครอบครัวที่อบอุ่นร่วมกัน

    ผม เชื่อว่าเรื่องราวเหลานี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าแอปเปิ้ลไม่ไล่ผมออก แม้มันจะเป็นยาที่ขมมาก แต่ผมก็คิดว่าเป็นยาที่คนป่วยต้องการพอดี บางครั้งชีวิตก็กระแทกเราเหมือนอิฐ อย่าเสื่อมศรัทธานะครับ ผมเชื่อว่าสิ่งเดียว

    ที่ทำให้ผมผ่านช่วงนั้นมาได้ คือความรักในสิ่งที่ผมทำ น้องๆต้องหาสิ่งที่ตัวเองรัก ผมหมายถึงทั้งงานและคนรัก เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตเราจะหมดไปกับงาน วิธีเดียวที่จะทำให้เรามีความสุขกับการทำงาน คือ เมื่อเราทำ

    งานที่ ยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้งานออกมายอดเยี่ยมคือ เมื่อเรารักงานที่เราทำ ถ้าน้องๆยังหางานนั้นไม่เจอ จงหาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง งานก็เหมือนเรื่องของหัวใจเรื่องอื่นๆ ตรงที่เราจะรู้ว่ามัน “ใช่” เมื่อได้เจอ

    กับมัน และการทำงานก็เหมือนความสัมพันธ์ที่ดีแบบอื่น คือมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นผมอยากย้ำให้น้องๆ ตามหางานที่รักจนกว่าจะเจอ อย่าท้อถอย

    **บทเรียนที่ 3 ความตาย

    ตอน ผมอายุ 17 ปี ผมอ่านคำคมประโยคหนึ่งที่ว่าไว้ทำนองนี้ ถ้าคุณใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนมันเป็นวันสุดท้ายของคุณแล้วล่ะก็ วันหนึ่งคุณจะพบว่าสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้อง ผมรู้สึกประทับใจกับประโยคนี้มาก ตั้งแต่นั้นมาก

    ก่วา 33 ปี ผมมองหน้าตัวเองในกระจกทุกวัน แล้วถามตัวเองวา ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของผม ผมจะอยากทำสิ่งที่ผมกำลังจะทำวันนี้หรือเปล่า? แล้วเมื่อไหร่ที่คำตอบคือ ไม่ ติดกันหลายวัน ผมจะรู้ตัวว่าผมต้องเปลี่ยน

    อะไรบางอย่างแล้ว

    ความ สำนึกว่าผมจะต้องตายในไม่ช้าเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดที่ผมรู้จัก ที่ผมใช้ในการตัดสินใจสำคัญๆของชีวิต เพราะเกือบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวัง ความภูมิใจ ความกลัวการหน้าแตกและความผิด

    พลาด ทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย เมื่อเทียบกับความตาย เหลือเพียงสิ่งที่สำคัญจริงๆเท่านั้น มรณานุสติเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมรู้ ที่จะหลุดพ้นจากบ่วงความคิดที่ว่า เรามีอะไรต้องเสีย เราทุกคนเปล่าเปลือยอยู่

    แล้วครับ ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะไม่ทำตามสิ่งที่ใจเราต้องการ

    ประมาณ 1 ปีก่อน หมอบอกว่าผมเป็นมะเร็งผมไปเข้าเครื่องสแกนเวลา 7 โมงครึ่งตอนเช้า ผลออกมาชัดเจนว่ามีเนื้อร้ายที่ตับอ่อนของผม ตอนนั้นผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตับอ่อนคืออะไร หมอบอกว่าเขาค่อนข้างแน่ใจว่าผม

    เป็น มะเร็งแบบที่รักษาไม่หาย และผมไม่น่าจะอยู่ได้นานเกิน 3-6 เดือน หมอบอกให้ผมกลับบ้านไปสะสางเรื่องต่างๆที่คั่งค้างอยู่ก็เป็นโค้ดของหมอที่ แปลว่าให้ไปเตรียมตัวตายนั่นแหละครับ แปลว่าให้พยายามบอกลูกๆ

    ถึง สิ่งต่างๆที่คนปกติมีเวลา 10 ปีที่จะบอกให้บอกภายในไม่กี่เดือน แปลว่าให้เก็บความรู้สึกทุกอย่างให้เรียบร้อย ให้ครอบครัวไม่ยุ่งยากใจเมื่อถึงเวลา แปลว่าให้เอ่ยคำลา

    ผมหมก หมุ่นอยู่กับคำวินิจฉัยนั้นทั้งวัน เย็นวันนั้นผมไปเข้ากระบวนการไบอ็อพซี คือหมอต้องหย่อนกล้องเอ็นโดสโคปลงไปในคอผมผ่านกระเพาะไปยังลำไส้ เอาเข็มฉีดยาแทงเข้าตับอ่อนดูดเอาเซลล์มะเร็งบางเซลล์

    ออกมา ตอนนั้นผมอยู่ใต้ฤทธิ์ยาชา ภรรยาผมซึ่งอยู่ในห้องด้วยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูเซลล์ มะเร็ง หมอหลายคนถึงกับร้องไห้ เพราะปรากฎว่ามันเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดหายากที่สามารถรักษาให้หายได้

    ด้วยการผ่าตัด หลังจากนั้นผมก็เข้ารับการผ่าตัด ตอนนี้ผมสบายดีแล้วครับ

    นั่น เป็นเหตุการณ์ที่นำให้ผมใกล้ชิดกับความตายมากที่สุดในชีวิต ผมหวังว่ามันจะไม่มาใกล้กว่านี้แล้วในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า เพราะผมได้ประสบด้วยตัวเอง ผมเลยสามารถเล่าสิ่งต่อไปนี้ให้น้องๆฟังด้วยความมั่นใจกว่าตอนที่ความตาย เป็นแค่นามธรรมสำหรับผม

    ไม่มีใครอยากตายหรอกครับ ขนาดคนที่อยากไปสวรรค์ก็ยังไม่อยากตายก่อนไปถึง ถึงกระนั้นเราทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น ไม่มีใครเคยรอดพ้นจากมัน แต่นั่นก็เป็นสัจธรรมที่ควรจะเป็น เพราะความตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่

    ธรรมชาติ ให้เรามา เป็นผู้นำความเปลี่ยนแปลงกำจัดของเก่าเพื่อสละพื้นที่ให้กับของใหม่ ตอนนี้น้องๆทุกคนเป็นของใหม่ แต่ในอีกไม่นานนับจากนี้ น้องๆจะกลายเป็นของเก่าที่ธรรมชาติต้องกำจัด ขอโทษที่อาจฟังดู

    เว่อร์นะครับ แต่มันเป็นความจริง

    เวลา ของน้องๆมีจำกัด ดังนั้นอย่าทำให้มันเปล่าประโยชน์ด้วยการใช้ชีวิตของคนอื่น อย่าตกเป็นทาสของกฎเกณฑ์ นั่นคือการใช้ชีวิตตามความคิดของคนอื่น อย่าปล่อยให้เสียงของทัศนคติคนอื่นดังกลบเสียงของหัวใจของ

    เราเอง และที่สำคัญที่สุดคือ จงมีความกล้าที่จะเดินตามสิ่งที่หัวใจและสัญชาตญาณเรียกร้อง เพราะสองสิ่งนี้รู้อยู่แล้วว่าน้องๆอยากเป็นอะไรทุกอย่างที่เหลือเป็นเรื่อง รองลงมาทั้งนั้น

    ตอนผมเป็นเด็กมีหนังสือที่น่าอัศจรรย์มากเล่ม หนึ่งชื่อ แคตตาล็อกของโลก (The Whole Earth Catalog) ซึ่งนับเป็นคัมภีร์ไบเบิลของคนรุ่นผม คนคิดแคตตาล็อกนี้ชื่อ สจ๊วต แบรนด์ เป็นคน

    เมืองเม็นโล ปาร์ค ไม่ไกลจากนี่เลยครับ เขาทำให้หนังสือนี้มีชีวิตขึ้นมาด้วยอารมณ์กวี เรากำลังพูดถึงช่วงทศวรรษ 1960 ก่อนยุคคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และโปรแกรมเวิร์ด แปลว่าแคตตาล็อคนี้ผลิตขึ้นจากเครื่องพิมพ์ดีด

    กรรไกร และกล้องโพลารอยด์ คล้ายๆกับกูเกิลในรูปกระดาษ 35 ปี ก่อนกูเกิลเกิด มันเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่ และเต็มเปี่ยมด้วยเครื่องมือและไอเดียดีๆมากมาย

    สจวตและทีมของ เขาผลิตแคตตาล็อกออกมาได้ไม่กี่เล่ม ก่อนที่มันจะม้วนเสื่อไป เขาเข็นเล่มสุดท้ายออกมาประมาณกลางทศวรร 1970 ตอนนั้นผมมีอายุเท่าน้องๆ ตอนนี้ ปกหลังของเล่มนี้เป็นรูปถนนแถวชนบทยาม

    เช้า แบบที่น้องๆ นักผจญภัยชอบไปโบกรถกันนั่นแหละครับ ใต้รูปเขียนว่า อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ Stay Hungry. Stay Foolish. แล้วผมก็ใช้ประโยคนี้เป็นคติประจำใจมาตลอด และในวันนี้วันที่น้องๆออกจากรั้วมหาวิทยาลัยไปเริ่มชีวิตใหม่

    ผมขออวยพรให้น้องๆด้วยประโยคนี้ครับ “อย่าทิ้งความกระหาย อย่าคลายความเชื่อ”



เวอไนน์ไอคอร์ส

ประหยัดเวลากว่า 100 เท่า!






เวอไนน์เว็บไซต์⚡️
สร้างเว็บไซต์ ดูแลเว็บไซต์

Categories


Uncategorized