เซนต์เซย์ย่า
เซนต์เซย์ย่า (ญี่ปุ่น: 聖闘士星矢 Seinto Seiya เซนโตะเซยะ ?) เป็นชื่อของหนังสือการ์ตูน ซึ่งแต่งขึ้นโดย มาซามิ คุรุมาดะ ซึ่งใช้กลุ่มดาวม้าบินมาเป็นตัวเอกของเรื่อง เนื่องจากม้าบินกำลังอยู่ในท่าทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ตรงกับภาพลักษณ์ของตัวเอกที่เขาได้คิดไว้นั่นเอง โดยมีเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่ม 5 คนที่เรียกว่า เซนต์ (saint) ต่อสู้โดยใช้ร่างกายของตนเองเป็นอาวุธเพื่อปกป้องคิโดะ ซาโอริ ผู้เป็นอวตารของเทพีอะธีนา และต่อสู้กับทัพศัตรูแห่งความชั่วร้าย ในโลกร่วมสมัยที่มีบรรยากาศของเทพปกรณัมกรีก
ในประเทศญี่ปุ่น เซนต์เซย์ย่าลงตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ ของสำนักพิมพ์ชูเอฉะ และออกเป็นหนังสือรวมเล่มจำนวน 28 เล่มจบ ส่วนในประเทศไทย สำนักพิมพ์วิบูลย์กิจได้รับสิทธิ์ในการตีพิมพ์ฉบับรวมเล่ม นอกจากภาคหลักแล้ว เซนต์เซย์ย่ายังได้รับการแต่งภาคเสริมขึ้นอีกหลายภาคด้วยกัน ได้แก่ ภาค Episode G , Next Dimension และ The Lost Canvas
เซนต์เซย์ย่าถูกสร้างขึ้นในรูปแบบของอะนิเมะ และออกฉายครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ. 2529 โดยบริษัท โตเอแอนิเมชัน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีจนได้ออกอากาศติดต่อกันนานเกือบ 3 ปี นอกจากนี้ยังได้แพร่ภาพทางโทรทัศน์ในประเทศต่าง ๆ อีกหลายประเทศ ทั้งในแถบเอเชียด้วยกัน เช่น ประเทศจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ ประเทศแถบยุโรป สหรัฐอเมริกา ละตินอเมริกา รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งมีการนำเซนต์เซย์ย่ามาออกฉายเมื่อปี พ.ศ. 2531 ทางไทยทีวีสีช่อง 3 โดยใช้ชื่อว่า “เซย่า เทพบุตรหมัดดาวหาง” จากนั้นก็ได้ออกอากาศซ้ำอีกในปี พ.ศ. 2547 ทางสถานีโทรทัศน์ยูบีซี (ทรูวิชั่นส์ ในปัจจุบัน) และมีการนำออกวางจำหน่ายในรูปแบบวีซีดีโดย บริษัท การ์ตูนอินเตอร์ จำกัด ด้วย นอกจากนี้เซนต์เซย์ย่ายังได้รับการดัดแปลงเป็นสื่อในรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ภาพยนตร์ ละครเวที เกม และของเล่นต่าง ๆ
เนื้อเรื่องของเซนต์เซย์ย่านั้น ในฉบับมังกะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ภาค ด้วยกัน ได้แก่ ภาคศึก12 ราศีภาคโพเซดอน และภาคฮาเดส แต่ในอะนิเมะนั้น ได้เพิ่มภาคอาสการ์ดเข้ามา ซึ่งเป็นภาครอยต่อระหว่าง ภาคศึก 12 ราศีและภาคโพเซดอน นอกจากนี้ ยังได้มีการแต่งเนื้อเรื่องเพิ่มขึ้นมาในภายหลังอีกหลายภาคด้วยกัน สำหรับเนื้อเรื่องย่อของภาคต่าง ๆ มีดังนี้
ภาคศึก 12 ราศี (Sanctuary Chapter)
เหล่าบรอนซ์เซนต์ทั้ง 10 คน ที่เข้าร่วมในศึกกาแล็คเซียนวอร์ส
หลังจากที่ไอโอลอสได้ช่วยเหลือเอธนาที่ยังเป็นเพียงเด็กทารกจากการลอบสังหารของเคียวโก (เจมินี่ ซากะ) แล้ว ไอโอลอสได้ฝากเอเธน่าและชุดคล็อธซาจิทาเรียสไว้กับคิโด มิสึมาสะเป็นผู้ดูแล เนื้อเรื่องหลังจากนั้นของภาคแซงค์ทัวรี อาจจะแบ่งย่อย ๆ ได้เป็น
ศึกกาแล็คเซียนวอร์ส
เริ่มต้นจากการคัดเลือกเหล่าเด็กกำพร้า 100 คน จากสถานที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศแล้วส่งไปฝึกฝนเพื่อให้ได้เป็นเซนต์ โดยมีผู้ที่สามารถฝึกสำเร็จจนได้เป็นบรอนซ์เซนต์ (Bronze saint) เพียง 10 คนเท่านั้น หลังจากนั้น คิโดะ ซาโอริจึงได้จัดการประลองขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า “ศึกกาแล็คเซียนวอร์ส” ซึ่งเป็นการประลองระหว่างบรอนซ์เซนต์ทั้ง 10 คน เพื่อหาผู้ชนะที่จะได้ครอบครองชุดคล็อธซาจิทาเรียส ในระหว่างการต่อสู่ระหว่างเหล่าเซนต์นั้น ฟินิกซ์ อิคคิ บรอนซ์เซนต์คนที่ 10 ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นมา พร้อมกับเหล่าแบล็คเซนต์ แล้วได้ขโมยชิ้นส่วนของชุดคล็อธซาจิทาเรียสไป ดังนั้น พวกเซย์ย่าจึงมีหน้าที่ที่จะต้องนำชุดคล็อธซาจิททาเรียสกลับคืนมาให้ได้[6]
การต่อสู้กับแบล็คเซนต์
หลังจากที่แบล็กเซนต์ได้ขโมยเอาชุดคล็อธซาจิททาเรียส พวกเซย์ย่าได้เดินทางไปยังภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นจุดที่เหล่าแบล็คเซนต์ (Black Saint) อยู่ พวกเซย์ย่าได้ต่อสู้กับอิคิและเหล่าแบล็คเซนต์จนสามารถนำชุดคล็อธซาจิทาเรียสกลับคืนมาได้ หลังจากการต่อสู้นั้น ภูเขาฟูจิก็ได้ถล่มลงมาซึ่งเป็นฝีมือของซิลเวอร์เซนต์ (Silver Saint) ที่ได้รับคำสั่งจากเคียวโกให้มากำจัดพวกเซย์ย่า นั่นเอง แต่พวกเซย์ย่าก็สามารถหนีออกมาจากใต้ภูเขาได้โดยความช่วยเหลือของ อาริเอส มู[7]
การต่อสู้กับซิลเวอร์เซนต์
ซิลเวอร์เซนต์ปรากฏตัวขึ้นหลังจากการต่อสู้กับเหล่าแบล็คเซนต์เพื่อกำจัดพวกเซย์ย่าตามคำสั่งของเคียวโก แต่พวกเซย์ย่าก็สามารถกำจัดเหล่าซิลเวอร์เซนต์ที่ถูกส่งมาได้ถึง 10 คน ซึ่งในบรรดาเหล่าซิลเวอร์เซนต์ที่ถูกส่งมานั้น ก็มีมารีนและไชน่าที่ได้ให้ความช่วยเหลือพวกเซย์ย่าในการต่อสู่ครั้งนี้ด้วย เมื่อซิลเวอร์เซนต์ที่เคียวโกส่งมาถูกกำจัดลง เคียวโกจึงได้ส่งโกลด์เซนต์ (Gold Saint) ไอโอเลีย มากำจัดเซย์ย่า ซึ่งจากการเดินทางมากำจัดเซย์ย่าในครั้งนี้ ทำให้ไอโอเลียได้รู้ความจริงว่าคิโดะ ซาโอรินั้น เป็นร่างจุติของเอเธน่าที่ไอโอลอสได้ช่วยชีวิตไว้เมื่อ 13 ปีก่อนนั่นเอง [8]
การต่อสู้กับเหล่าโกลด์เซนต์
เอเธน่าตัดสินใจเดินทางไปยังแซงค์ทัวรี่เพื่อเข้าพบเคียวโก แต่เอเธน่าได้ถูกลูกศรทองคำของซิลเวอร์เซนต์ ซาจิตต้า เทรมี่ ปักเข้าที่หัวใจ ซึ่งพวกเซย์ย่าจะต้องบุกเข้าไปยัง 12 ปราสาทแห่งแซงค์ทัวรี่ภายใน 12 ชั่วโมง เพื่อพาเฮียวโกมามาช่วยเหลือเอเธน่าให้ปลอดภัย ปราสาท 12 แห่งของแซงค์ทัวรี่นั้นมีเหล่าโกลด์เซนต์ 12 คนเป็นผู้ดูแลประจำแต่ละปราสาท ดังนั้น การที่จะขึ้นไปยังเทวสถานอาธีน่านั้น จำเป็นต้องล้มโกลด์เซนต์ทั้ง 12 คนไปให้ได้เสียก่อน ซึ่งไม่มีใครสามารถทำได้ตั้งแต่สมัยเทพนิยาย อย่างไรก็ตาม อาริเอส มู ได้แนะนำให้พวกเซย์ย่าปลุกพลังเซเว่นเซนส์ (Seventh Sense) ซึ่งเป็นพลังคอสโมสูงสุดขึ้นมา พวกเซย์ย่าสามารถปลุกพลังเซเว่นเซนส์และสามารถผ่านปราสาททั้ง 12 แห่ง และสามารถเอาชนะเคียวโก (เจมินี่ ซากะ) จนไปถึงเทวสถานอาธีน่าและใช้โล่ที่รูปปั้นอาธีน่าช่วยชีวิตคิโดะ ซาโอริเอาไว้ได้ ในการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้โกลด์เซนต์บางส่วนได้เสียชีวิตไป ได้แก่ เจมินี่ ซากะ, แคนเซอร์ เดธมาสค์, แคปริคอร์น ชูร่า, อควอเรียส คามิว และ พิสซิส อโฟรดิตี้ ส่วนเหล่าโกลด์เซนต์ที่เหลือก็ได้ถวายความจงรักภักดีต่อเอเธน่า[9]
ภาคศึกอัศวินแห่งแอสการ์ด
ภาคศึกอัศวินแห่งแอสการ์ด เป็นเนื้อเรื่องที่แต่งขึ้นมาสำหรับภาคอะนิเมะ ไม่มีในมังงะ โดยเนื้อเรื่องเริ่มขึ้นหลังเสร็จสิ้นจากศึก 12 ปราสาทแห่งแซงค์ทัวรี่ โดยโพราลีส ฮิลด้า ผู้ปกครองแคว้นแอสการ์ด ผู้ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวแทนของเทพเจ้าโอดีน ถูกอำนาจของ “แหวนนีเบอลุง” เข้าครอบงำ ซึ่งทำให้ฮิลด้ามีความต้องการที่จะครอบครองแซงค์ทัวรี่และพื้นพิภพทั้งหมด โดยมีก็อดวอริเออร์ทั้ง 7 เป็นผู้คุ้มครอง เอเธน่าได้เดินทางมายังแอสการ์ดเนื่องจากรับรู้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น และได้เสียสละตนทำหน้าที่ยับยั้งการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก เพื่อช่วยโลกและเอเธน่าพวกเซย์ย่าจึงต้องรวบรวมโอดีนแซฟไฟร์ซึ่งจะได้มาโดยการกำจัดเหล่าก็อดวอริเออร์ทั้ง 7 คน เพื่อนำมาใช้ถอดแหวนนีเบอลุงออกจากนิ้วของฮิลด้าให้ได้ภายในเวลาครึ่งวัน หลังจากที่พวกเซย์ย่าสามารถโค่นก็อดวอริเออร์ทั้ง 7 คนและรวบรวมโอดีนแซฟไฟร์ครบ 7 เม็ดแล้ว เซย์ย่าก็ได้ใช้โอดีนแซฟไฟร์ปลุก “ชุดโอดีนโร้บ” ขึ้นและใช้ดาบของโอดีนโร้บทำลายแหวนนีเบอลุงที่นิ้วของฮิลด้าได้สำเร็จ โดยที่แท้จริงแล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นแผนของเจ้าสมุทรโพเซดอนนั่นเอง[10]
ภาคศึกเจ้าสมุทรโพเซดอน
ด้วยอำนาจของเทพสมุทรโพไซดอนได้ทำให้เกิดฝนตกอย่างหนักบนโลก และเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมหลายแห่ง โดยโพเซดอนหวังว่าจะให้น้ำท่วมโลกเพื่อกำจัดมนุษย์ และให้พื้นพิภพปกครองโดยเหล่าเทพเจ้าอีกครั้ง เพื่อยุติภัยพิบัติครั้งนี้ เอเธน่าจึงได้เดินทางไปพบโพเซดอนที่วิหารใต้ท้องมหาสมุทร และได้เสียสละตัวเองเข้าไปในเสาเมนเบรดวินเนอร์เพื่อรองรับน้ำฝนจากบนโลกให้มาตกภายในเสานี้เท่านั้น พวกเซย์ย่าจึงต้องช่วยเอเธน่าให้ออกมาจากเสาเมนเบรดวินเนอร์ให้ได้ก่อนที่อาธีน่าจะจมน้ำตาย โดยการกำจัดเหล่ามารีเนอร์ทั้ง 7 คน รวมทั้งโค่นเสาค้ำมหาสมุทรที่เหล่ามารีเนอร์คุ้มครองอยู่ด้วย โดยใช้อาวุธของชุดคล็อธไลบร้า เมื่อพวกเซย์ย่าสามารถโค่นมารีเนอร์และทำลายเสาค้ำมหาสมุทรทั้ง 7 ต้นได้แล้ว จึงบุกเข้าไปยังวิหารโพเซดอนเพื่อทำลายเสาเมนเบรดวินเนอร์ แต่ถูกโพเซดอนขัดขวางไว้ ซึ่งเหล่าโกลด์เซ็นต์ได้ส่งชุดคล็อธซาจิททาเรียส ชุดคล็อธไลบร้า และชุดคล็อธอควอเรียสมาช่วยเหลือ พวกเซย์ย่าได้รวมรวบพลังไปยังลูกธนูของซาจิททาเรียสแล้วยิงเข้าใส่โพเซดอนทำให้โพเซดอนได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้นก็ได้เข้าทำลายเสาเมนเบรดวินเนอร์และช่วยเหลือเอเธน่าได้สำเร็จ เอเธน่าจึงใช้คนโทกักวิญญาณของโพเซดอนไว้อีกครั้งหนึ่ง[11]
ภาคศึกเทพเจ้าฮาเดส
เนื้อเรื่องของภาคฮาเดสนั้นเริ่มต้นจากพลังของเอเธน่าที่ใช้ผนึกเหล่าสเป็คเตอร์ไว้หลังจากการต่อสู้ในสงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อ 243 ปีก่อนนั้น ได้เสื่อมลง ซึ่งทำให้เหล่าสเป็คเตอร์ภายใต้การนำของฮาเดส เทพเจ้าแห่งยมโลก (โลกหลังความตาย) ฟื้นคืนชีพกลับมาอีกครั้ง เนื้อเรื่องหลังจากนั้นของภาคศึกเทพเจ้าฮาเดส อาจแบ่งย่อยได้ ดังนี้
ภาคแซงก์ทัวรี (The Hades Chapter – Sanctuary)
หลังจากการคืนชีพของเหล่าสเป็คเตอร์ภายใต้การนำของฮาเดสนั้น ฮาเดสได้ใช้พลังทำให้เหล่าโกลด์เซนต์ที่เสียชีวิตไปแล้ว ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง โดยจะมีเวลาอยู่บนโลกได้ 12 ชั่วโมงเพื่อไปนำศีรษะของอาธีน่ามาให้ตน เหล่าโกลเซนต์ภายใต้การนำของอาริเอส ชิออนซึ่งเป็นอดีตเคียวโก จึงได้บุกเข้า 12 ปราสาทแห่งแซงค์ทัวรี่เพื่อขึ้นไปยังวิหารอาธีน่า ในระหว่างการต่อสู้นั้น ทอรัส อัลเดบารัน และ เวอร์โก้ ชากะ ได้เสียชีวิตลง แต่ชากะได้เขียนคำว่า “อารายาชิกิ” ลงบนกลีบดอกไม้ให้พัดพาไปถึงอาธีน่า โดยต้องการบอกให้อาธีน่าเข้าใจถึงการตายของเขาในครั้งนี้เพื่อทำการปลุกสัมผัสที่ 8 หรือ เอทเซนส์ (Eighth Sense) ซึ่งจะทำให้มนุษย์ที่ยังมีชีวิตสามารถลงไปยังยมโลกได้ เมื่ออาธีน่าทราบถึงเจตนาของชากะ จึงได้สั่งให้นำพวก เซ็นต์จิมินี่ คาน่อน น้องฝาแฝดของ เซ็นต์จิมินี่ ซากะ มาพบตน และได้ใช้กริชทองคำที่ซากะเคยคิดใช้สังหารอาธีน่าเมื่อ 13 ปีก่อนปลิดชีพตนเอง หลังจากนั้น อาริเอส ชิออนจึงได้บอกความจริงทั้งหมดแก่พวกเซย์ย่าว่า เจตนาที่แท้จริงของเหล่าโกลด์เซนต์ที่คืนชีพมาในครั้งนี้ก็เพื่อใช้เลือดของอาธีน่าปลุกชุดคล็อธแห่งอาธีน่านั่นเอง หลังจากการตายของอาธีน่านั้น พวกเซย์ย่าพร้อมกับเหล่าโกลด์เซนต์ที่เหลือได้บุกไปยังปราสาทฮาเดส และพวกเซย์ย่าได้ปลุกสัมผัสที่ 8 ขึ้นมาเพื่อลงไปยังยมโลกทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ได้สำเร็จ [12]
ภาคยมโลก (The Hades Chapter – Inferno)
หลังจากเข้าสู่ยมโลก พวกเซย์ย่าได้แยกเป็น 2 กลุ่ม โดยเซย์ย่าและชุนได้เดินทางไปด้วยกัน ส่วนชิริวและเฮียวงะก็แยกไปอีกเส้นทาง โดยทั้ง 2 กลุ่มเดินทางมุ่งไปยังนรกขุมต่าง ๆ และได้กำจัดเหล่าสเป็คเตอร์ประจำขุมนรกต่าง ๆ ลง เซย์ย่าและชุนได้พบกับไลรา โอฟี ซิลเวอร์เซนต์อีกคนที่พลังเทียบเท่าโกลด์เซ็นต์แต่ต้องอยู่ในนรกเพื่อบรรเลงพิณให้ฮาเดสฟัง ด้วยความช่วยเหลือของโอฟี ทำให้เซย์ย่าและชุนบุกเข้าถึงปราสาทที่พักของฮาเดสได้ แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันโดยชุนได้กลายเป็นร่างสถิตของฮาเดส แต่ด้วยความช่วยเหลือของอาธีน่าทำให้วิญญาณของฮาเดสที่เข้าสิงรางของชุนนั้นกลับไปสู่เอริเชี่ยน อาธีน่าจึงตามฮาเดสไปสู่อาริเชี่ยน ทว่าพวกเซย์ย่าไม่สามารถไปสู่เอริเชี่ยนได้เพราะมีกำแพงวิปโยคขวางกั้นอยู่ พวกเซย์ย่าพยายามจะทำลายกำแพงนั้นแต่ไร้ผล และในขณะนั้นเอง วิญญาณของโกลด์เซนต์ทั้ง 7 คนที่เสียชีวิตไปแล้วก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหน้าของกำแพงวิปโยค เมื่อเห็นดังนั้น โกลด์เซนต์อีก 5 คนที่ยังมีชีวิตได้แก่ โดโก มู มิโร่ ไอโอเรีย และคาน่อน จึงได้เสียสละชีวิตของตนไปพร้อมกับวิญญาณของเพื่อนโกลด์เซนต์ทั้ง 7 เพื่อทำลายกำแพงนั้นลง ทำให้พวกเซย์ย่าสามารถเดินทางไปยังเอริเชี่ยนได้[13]
ภาคเอลิเซี่ยน (The Hades Chapter – Elysion)
หลังจากเซย์ย่า ชิริว เฮียวงะ ชุน และอิกกิ เดินทางมาสู่เอริเชี่ยนแล้ว ได้ต่อสู้กับทานาทอสและฮิปนอส ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่ยอมสยบแก่ฮาเดส พวกเซย์ย่าไม่สามารถสู้กับทานาทอสและฮิปนอส แต่ด้วยเลือดของอาธีน่าทำให้ชุดคล็อธที่แตกละเอียดของทั้ง 5 คนกลับคืนชีพอีกครั้งกลายเป็น “ชุดก็อดคล็อธ” ทำให้พวกเซย์ย่าสามารถกำจัดทานาทอสและฮิปนอสลงได้ หลังจากนั้นพวกเซย์ย่าจึงได้ต่อสู่กับฮาเดส และสามารถมอบชุดคล็อธให้อาธีน่าสวมได้สำเร็จ อาธีน่าจึงใช้คทาทองคำของตนกำจัดฮาเดสลงได้ในที่สุด[14]
ภาคเสริมอื่น ๆ
นอกจากนี้ ยังมีการแต่งเนื้อเรื่องขึ้นมาใหม่ในช่วงหลัง โดยเนื้อเรื่องที่แต่งขึ้นมาใหม่นี้ จะเป็นการกล่าวถึงช่วงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนการดำเนินเรื่องในภาคหลัก ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
ภาค Episode G
เป็นฉบับมังงะที่ทำขึ้นใหม่ โดยเปลี่ยนผู้วาดภาพเป็น เมกุมุ โอคาดะ แต่คนแต่งยังคงเป็นคุรุมาดะเช่นเดิม กล่าวถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อ 7 ปีก่อนที่เนื้อเรื่องของภาคหลักจะเริ่มต้นขึ้น เกี่ยวกับศึกระหว่างโกลด์เซนต์ กับเหล่าเทพ ไททัน ซึ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมา ตัวเอกของภาคนี้คือ เลโอ ไอโอเรีย ในวัยหนุ่ม ผู้ยังมีความเป็นขบถในตัวสูง และไม่ลงรอยกับแซงค์ทัวรี่ จากเหตุการณ์ที่พี่ชายถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฎ และถูกสังหารโดยโกลด์เซนต์ด้วยกันเอง
ภาค Next Dimension
เป็นภาคที่แต่งและวาดขึ้นใหม่โดยตัวคุรุมาดะเอง ขณะนี้กำลังลงตีพิมพ์อยู่ในนิตยสารโชเน็นแชมเปี้ยนของญี่ปุ่น โดยลงเป็นหน้าสีทั้งตอน แบบนานๆ ออกหน เรื่องราวจะสัมพันธ์กับเนื้อเรื่องในตอนท้ายของภาคเจ้านรกฮาเดส กล่าวย้อนความไปถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์ เมื่อ 243 ปีก่อน ตัวเอกของภาคนี้คือ บรอนซ์เซนต์ เพกาซัส เท็มมะ ผู้พบว่า อาโรน เพื่อนรักของตน กลับกลายเป็นร่างทรงของฮาเดส
ภาค The Lost Canvas
เป็นภาคที่คุรุมาดะเป็นผู้แต่งเนื้อเรื่อง แต่เปลี่ยนผู้วาดภาพเป็น ชิโอริ เทชิโรงิ กล่าวถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งก่อน และตัวเอกคือ เพกาซัส เท็มมะ เช่นเดียวกับภาค Next Dimension แต่มีการดำเนินเรื่องแตกต่างกัน เหตุเกิดในทวีปยุโรป ช่วงศตวรรษที่ 18 ไลบร้า โดโก สืบสาวร่องรอยของฮาเดส จนมาถึงเมืองหนึ่ง ณ ที่นั้น เท็มมะ เด็กหนุ่มเชื้อสายญี่ปุ่น ผู้มีฝีมือด้านต่อยตี กับ อาโรน เด็กหนุ่มจิตใจดี ที่รักและเล่าเรียนการวาดภาพ อาศัยอยู่ร่วมกับเด็กๆ ในย่านคนยากไร้ โดโกเห็นแววในตัวเท็มมะ จึงชักชวนไปรับการฝึกฝนเพื่อเป็นเซนต์ที่แซงค์ทัวรี่ ขณะอยู่ที่นั่น เท็มมะพบว่า เทพีอาธีน่าที่เหล่าเซนต์ปฏิญาณจะภักดีด้วยนั้น หาใช่ใครอื่น แต่เป็น ซาชา น้องสาวของอาโรน ที่เคยเติบโตมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าพร้อมกับพวกเขานั่นเอง ขณะเดียวกัน อาโรน ซึ่งกำลังรอคอยการกลับมาของเพื่อนอยู่ที่บ้านเกิด กลับค่อยๆ ถูกแพนโดร่าชักนำให้โอบรับความมืด ในฐานะร่างทรงของฮาเดส สงครามศักดิ์สิทธิ์จึงได้เปิดม่านขึ้น พร้อมกับความสัมพันธ์ที่ถูกชะตากรรมเล่นตลกของทั้งสาม
ภาค โอเมกา
เป็นอะนิเมะที่ออกฉายในปี พ.ศ. 2555 สร้างโดยโตเอ และออกแบบตัวละครโดย โยชิฮิโกะ อุมาโคชิ เรื่องราวกล่าวถึงเหตุการณ์ต่อจากภาคหลักในอีก 25 ปีให้หลัง ตัวเอกคือ เพกาซัส โคกะ มีการดำเนินเรื่องเชื่อมโยงจากบทโหมโรงสวรรค์
เกราะ
คลอธ (聖衣 ; Cloth)
เครื่องป้องกันร่างกายของเหล่าเซนต์แห่งอาธีน่า ปกติจะมีรูปร่างต้นแบบแตกต่างกันไปตามลักษณะของกลุ่มดาว แต่เมื่อถึงเวลาทำการต่อสู้คลอธจะแยกชิ้นส่วนออกมาประกอบเข้ากับร่างกายตามพลังของคอสโมที่เซนต์แต่ละคนกระตุ้นขึ้น ประสิทธิผลของคลอธจะขึ้นอยู่กับพลังคอสโมของเซนต์แต่ละคนด้วย อ้างอิงได้จากตอนที่เซย์ย่าสวมคลอธครั้งแรกแล้วบ่นว่า เป็นเกราะที่ไม่มีประโยชน์ใช้ป้องกันอะไรไม่ได้เลย จนมารีนให้เร่งพลังคอสโม จึงสามารถสะบัดหลุดจากการจับกุมของเหล่าทหารแห่งแซงค์ทัวรี่ได้
โดยปกติแล้ว ถ้าหากคลอธได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากการต่อสู้ ก็จะซ่อมแซมตัวเองได้ ทว่าหากได้รับความเสียหายอย่างหนักจนไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้ หรือจะถือได้ว่าความสามารถในการฟื้นฟูตัวเองของคลอธนั้นหายไปแล้ว ซึ่งการจะให้คลอธมีความสามารถฟื้นฟูอีกครั้ง จำเป็นจะต้องใช้เลือดจำนวนมากของเซนต์(อ้างอิงจากตอนที่ชิริวเอาคลอธไปให้มูซ่อม)ซึ่งถ้าว่ากันตามหลักของคอสโมแล้ว ไม่น่าจะเกี่ยวกับเลือดเท่าไหร่ แต่น่าจะเกี่ยวกับพลังความตั้งใจหรือพลังคอสโมของผู้ที่ต้องการจะซ่อมแซมคลอธซะมากกว่า แต่สำหรับคลอธฟีนิกซ์ถือเป็นข้อยกเว้น เนื่องจากเป็นคลอธเพียงหนึ่งเดียวในบรรดาคลอธทั้งหมด ที่สามารถซ่อมแซมและฟื้นฟูสภาพได้เอง แม้จะถูกทำลายจนแหลกเป็นผุยผง
คลอธของเซนต์แห่งอาธีน่า สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้
บรอนซ์คลอธ (Bronze Cloth) เป็นคลอธระดับต่ำสุดในคลอธทั้งหมด ไม่มีสีที่ตายตัว แต่เนื่องจากเป็นทองแดงอะตอมจึงสามารถเคลื่อนตัวได้จนถึงจุดเยือกแข็งที่อุณหภูมิ -150 ºC
ซิลเวอร์คลอธ (Silver Cloth) เป็นคลอธของซิลเวอร์เซนต์ มักมีโทนสีออกไปทางสีเงินเนื่องจากเป็นเกราะที่ทำจากเงิน อะตอมจึงสามารถเคลื่อนตัวได้จนถึงจุดเยือกแข็งที่อุณหภูมิ -200 ºC
โกลด์คลอธ (Gold Cloth) คลอธสีทองซึ่งมีระดับสูงสุด สวมใส่โดยโกลด์เซนต์ทั้ง 12 คน มีลักษณะเป็นตัวแทนตามจักรราศี อะตอมจึงสามารถเคลื่อนตัวได้จนถึงจุดเยือกแข็งที่ศูนย์องศาสัมบูรณ์ (-273.15ºC) [16]
นอกจากนี้ คลอธยังสามารถพัฒนาได้ด้วยการรับเอาเลือดที่ประกอบด้วยพลังคอสโมของเหล่าเซนต์ในระดับต่างๆ เช่น คลอธที่ใช้ในศึกอัสการ์ด ที่มีความสามารถเทียบเท่าเกราะทอง เนื่องจากได้รับเลือดของเหล่าโกล์ดเซนต์ รวมถึงเกราะแห่งเทพ(ก็อดคลอธ)ในศึกเจ้านรกที่เอรีเชี่ยน ที่พัฒนาขึ้นจากเลือดของอาธีนา รวมทั้งยังมีคลอธของเทพีอาธีน่าเองอีกด้วย
สำหรับชุดคลอธแบบอื่นๆ ได้แก่
แบล็กคลอธ (Black Cloth) เป็นคลอธที่สวมใส่โดยเหล่าแบล็กเซนต์ ว่ากันว่าถูกค้นพบที่เกาะเดธควีน ซึ่งคลอธที่แบล็กโฟร์ และแบล็กฟีนิกซ์สวมใส่ จะมีลักษณะเหมือนกับบรอนซ์คลอธของพวกเซย์ย่าทุกประการ แต่ต่างกันตรงที่เป็นสีดำสนิท
สตีลคลอธ (Steel Cloth) เป็นคลอธที่ถูกสร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ โดย ศจ. อาซาโมริ แห่งมูลนิธิกราด สวมใส่โดยเหล่าสตีลเซนต์ มีต้นแบบมาจากสัตว์ 3 ชนิด ได้แก่ นกทูแคน (สกายคลอธ) หมาจิ้งจอก (แลนด์คลอธ) และปลากระโทงแทง (มารีนคลอธ) แม้จะไม่สามารถช่วยให้ใช้พลังคอสโมได้เหมือนกับคลอธของเซนต์แห่งอาธีน่า แต่เนื่องด้วยเทคนิคทางวิทยาศาสตร์กับอุปกรณ์ต่างๆ ที่ติดตั้งลงไป จึงทำให้มีประสิทธิภาพมากพอๆ กับบรอนซ์คลอธ
ก็อดโร้บ (神闘衣 ; God Robe)
สวมใส่โดยก็อดวอริเออร์แห่งแอสการ์ดทั้ง 8 คน มีลักษณะเป็นตัวแทนสัตว์ตามเทพนิยายนอร์ส ในก็อดโร้บแต่ละชุดจะมีหินที่เรียกว่า โอดินแซฟไฟร์ ซึ่งเป็นเหมือนชีวิตของก็อดวอริเออร์ฝังอยู่ด้วย โดยหากนำโอดินแซฟไฟร์ทั้ง 7 เม็ด จากก็อดวอริเออร์ทั้ง 7 (ไม่นับรวม อัลกอร์ นักรบเงาแห่งดาวเซต้า) ไปแสดงต่อหน้ารูปปั้นเทพโอดิน ชุดเกราะแห่งเทพโอดิน “โอดินโร้บ” ก็จะปรากฏออกมา
สเกล (鱗衣 ; Scale)
ชุดเกราะที่เจ้าสมุทรโปเซดอนเป็นผู้สร้างขึ้น สวมใส่โดยมารีนเนอร์แห่งโปเซดอน โดยมีลักษณะเป็นตัวแทนสัตว์ทะเล สัตว์ประหลาด และบุคคลในเทพนิยาย ทำด้วยแร่โอริคัลคุม ในนครแอตแลนติส มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับโกลด์คลอธ แต่สีจะค่อนออกไปทางสีส้มหรือทองแดงมากกว่า
เซอร์พริส (冥衣 ; Surplice)
สวมใส่โดยสเปกเตอร์แห่งฮาเดส มักออกแบบมาจากสัตว์ที่น่ากลัว นอกจากเซอร์พริสทั้ง 108 ชุด ยังมีชุดของ ราดาแมนทีส มีนอส ไออาคอส ฮาเดส ธานาทอส ฮิปนอส และโกลด์เซนต์ที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใส่คลอธสีดำอีก 6 คน
โซม่า (楚真 ; Soma)
สวมใส่โดยเหล่าเทพไททัน มีทั้งหมด 12 ชุด ออกแบบให้มีรูปลักษณ์เป็นอาวุธชนิดต่างๆ ชุดจะมีสีน้ำเงินเข้มออกม่วง เป็นชุดที่พระแม่ธรณี ไกอา มอบให้กับเหล่าไททัน ในคราที่โค่นล้มยูเรนัสในอดีตกาล
กลอรี่ (天衣 ; Glory)
สวมใส่โดยเหล่าแองเจิลแห่งอาร์เทมิส ชุดจะไม่ค่อยครอบคลุมทั้งร่าง คือค่อนข้างจะเน้นคล่องตัวเป็นหลัก สีของชุดไม่แน่นอน
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2