• November 23, 2012

    มุมมอง การมองโลกที่เต็มไป ด้วย กิเลส ตัณหา แก่งแย่ง ชิงดี ผ่านทางวรรณกรรม “สามก๊ก”
    เป็นวรรณกรรมแห่ง เล่ห์เหลี่ยม แผนอุบาย การชิงไหว ชิงพริบ แต่ทั้งหมดนั้นก็คือกิเลส ตัณหา อันสะท้อน สันดานมนุษย์ ที่มีอยู่ในทุกคนแต่ทว่าจะมีมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น
    วรรณกรรมสามก๊กนั้นได้ชำแหละ นิสัย พฤติกรรม อุบาย ชั้นเชิง ความอยากได้ใคร่ดี ของบุคคลที่วนเวียนในโลกียะ ได้เด่นชัด เป็นคติเตือนใจ

    เพื่อให้ทุกท่านที่ได้เคยอ่านแล้วก็ดี ยังไม่เคยอ่านก็ดี ได้เรียนลัดรู้นิสัย สันดาน ของบุคคลที่วนเวียนรอบตัวท่าน ว่ามีลักษณะเหมือนคนใดคนหนึ่งในสามก๊กนี้หรือไม่? เพื่อวางใจให้ถูก เพราะที่ผมเห็นๆมานั้น คนมีที่ศึกษาธรรมะจะมองโลกชั้นเดียว จึงมีโอกาสที่จะถูกเล่ห์เหลี่ยมของคนในสังคมที่มีหลายชั้นหลอกลวงเอาได้ เราจึงควรรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมนั้นเหมือนมีเกราะคุ้มกันเรานอกจาก ธรรมะที่เรามีอยู่ แต่หากเป็นปัญญาที่ได้จากสามก๊ก ซึ่งบางคนที่ไม่เคยได้อ่าน อาจจะสามารถแยกแยะคนได้ แต่บางคนยังอ่อนต่อโลก เหมือนนกตัวน้อยๆบินออกจากรัง โอกาสที่ภัยรอบๆตัวต่างๆ มาทำร้ายก็มีสูง

    ตอนนี้ ศ.เจริญ วรรธนะสิน ผู้ที่เคยสร้างความเกรียวกราว เรื่อง ภาพยนต์ “สามก๊กฉบับนักบริหาร” เมื่อ10กว่าปีก่อนมานั้น
    มาบัดนี้ ศ.เจริญ ได้กลับมาเขียนสามก๊กฉบับนักบริหาร อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งได้ตีพิมพ์ใน นสพ.ผู้จัดการรายสัปดาห์ เขียนมาเมื่อวันที่ 19 ก.ค.50

    ก่อนเริ่มเรื่องสามก๊กในภาพยนต์ เราจะพบกับบทเพลงอันสะท้อนถึงความไม่เที่ยงแท้แห่งอำนาจ ยศศักดิ์ วาสนา บารมี ความมี ความเป็นของผู้ยิ่งใหญ่มากมี หรือ ผู้น้อยด้อยค่า และสิ่งสินต่างๆในอดีต ว่าไม่เที่ยงแท้แน่อน คงมีแต่ความดีงามเท่านั้นที่จะได้จดจำ เล่าต่อๆกันสืบไป ชั่วลูกชั่วหลาน

    ในบทเพลงที่ท่านได้กำลังฟังอยู่นี้นั้นมีความหมายดังนี้ครับ

    น้ำแยงซี รี่ไหล สู่บูรพา คลื่นพัดกวาดพา วีรชน หล่นลับหาย ถูกผิดแพ้ชนะ วัฏจักร เวียนว่างดาย สิงขรยังคง ตะวันยังฉาย นานเท่านาน
    เกาะกลางชล คนตัดฟืนผมขาว เฒ่าหาปลา สาร์ทวสันต์เห็นมา เหลือหลาย ที่กรายผ่าน สังสรรค์สุรา ป้านใหญ่ ให้ตำนาน เก่าเก่าใหม่ใหม่ สรวลสราญ เล่ากันมาฯ

    ขอให้ท่านได้ซาบซึ้ง และสัมผัสกลิ่นไอ ของวีรบุรุษผู้กล้าในอดีต ที่จะกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ฤาท่านจะไม่ภูมิใจในอุบัติกาลครั้งนี้!

    บทที่ 1 กลุ่มม็อบโจรโพกผ้าเหลือง
    แผ่นดินจีนนี้กว้างใหญ่ มวลชนมากมายหลายเผ่าพันธุ์ แต่ก็หนีหลีกพ้นจากทฤษฎีแห่งวิภาษวิธี (Dialectic Theory) วัฏจักรแห่งวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์หาได้ไม่ ตามที่มีปรากฏคำจารึกโบราณในข้อเขียนของบัณฑิตในยุคก่อนซานกวั๊ะเอี๋ยนอี้ว่า สถานการณ์ในแผ่นดินนี้ เมื่อแตกแยกมานาน ก็จักรวมสมาน รวมสมานมานาน ก็จักแตกแยก ยุคชุนชิว 5 อธิราชแย่งชิงความเป็นใหญ่ ยุคจ้านกั๋วแผ่นดินจีนแยกออกเป็น 7 ก๊กเรืองอำนาจ ก่อสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่เป็นเวลายาวนานถึงกว่า 500 ปี

    มาถึงยุคจิ๋น ก๊กจิ๋นของจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้รวมแผ่นดินจีนเป็นเอกภาพได้ แต่ก็อยู่ไม่นาน หลังราชวงศ์จิ๋นสิ้นอำนาจก็เกิดสงครามระหว่างก๊กฌ้อกับก๊กฮั่น-(ฌ้อปาอ๋องกับเล่าปัง) ท้ายที่สุดก๊กฮั่นเป็นฝ่ายชนะ เล่าปังเป็นผู้นำที่บริหารการศึกสงครามเหนือกว่า รู้จักบริหารทรัพยากรมนุษย์ได้ดีกว่าจึงเป็นฝ่ายชนะ มาถึงยุคตงฮั่นจึงได้สถาปนาขึ้นเป็นปฐมวงศ์ฮั่นพระนามว่า พระเจ้าฮั่นโกโจฮ่องเต้ในปี พ.ศ. 631

    ราชวงศ์ฮั่นสืบราชสันตติวงศ์ต่อเนื่องมา จนถึงรัชสมัยยุวกษัตริย์มีพระนามว่า ฮั่นบูเต้ ทรงพระชันษาเพียง 10 พรรษาขึ้นครองราชย์ กลุ่มขันทีในราชสำนักกำเริบเสิบสาน ทำการโค่นอำนาจตู้ไทเฮากับตู้เสียนพี่ชายลงได้ ยึดกุมอำนาจบริหารราชการแผ่นดิน หลังจากนั้นได้เกิดการช่วงชิงอำนาจผลัดแผ่นดินกันบ่อยครั้ง มีการสถาปนาองค์ฮ่องเต้ล้วนแต่เป็นยุวกษัตริย์ ด้วยกลยุทธ์ตัวแทนนอมินีแฝงตัวใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินหลังม่าน นับแต่พระเจ้าอันเต้ ซุ่นเต้ จื้อเต้ ล้วนเป็นยุวกษัตริย์ที่ถูกใช้เป็นหุ่นเชิด บางองค์ถูกปลงพระชนม์ด้วยยาพิษกับวิธีการอื่น ๆ ในการยึดอำนาจผลัดแผ่นดิน

    มาถึงรัชสมัยพระเจ้าฮวนเต้(พ.ศ. 690) หาพระราชบุตรมิได้ ทรงขอเลนเต้สามัญชนบุตรขุนนางชายแดนมาเลี้ยง จนเลนเต้ได้เสวยราชย์ (พ.ศ. 711) มีพระราชบุตรสององค์ คือ หองจูเปียน กับหองจูเหียบ พระเจ้าเลนเต้ด้อยความสามารถ มิได้ตั้งอยู่ในโบราณราชประเพณี กาลวิบัติของฮ่องเต้องค์นี้ เกิดขึ้นจากข้าราชบริพารที่อยู่แวดล้อมมิได้เป็นคนดีมีศีลสัตย์ ฉาบหน้าล้วนวางท่ามีเกียรติ แฝงอุดมด้วยวาระซ่อนเร้น ยึดถือประโยชน์ส่วนตน มิได้สนใจในทุกข์สุขของประชาราษฏร์

    ฮ่องเต้กับโฮเฮาอัครมเหสี รวมทั้งตังไทฮอพระราชมารดาคนสามัญ หลงเชื่อ ฟังแต่พวกขันทีประจบสอพลอ ยกย่องขันทีให้เป็นใหญ่ในแผ่นดินยิ่งกว่าขุนนางทั้งปวง พระเจ้าเลนเต้ทรงมีอำนาจราชศักดิ์ แต่ทรงบริหารราชการแผ่นดินกับอำนาจที่พระองค์มีอยู่ไม่เป็น ที่ควรแข็งมิแข็ง ที่ควรอ่อนมิอ่อน อีกทั้งยังได้แม่ทัพชื่อโฮจิ๋น เป็นพี่ชายของอัครมเหสีโฮเฮา มีรากเหง้ามาจากคนฆ่าสัตว์ขายหมู เป็นคนทึ่ม ไร้ความรู้ทางการทหารและการปกครองบ้านเมือง คนในราชสำนักรวมทั้งพวกขันทีทั้ง 10 มิได้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ รับสินบาทคาดสินบน บิดเบือนคำเพ็ดทูล จริงเป็นเท็จ เท็จเป็นจริง ชอบเป็นผิด และผิดเป็นชอบ

    ขุนนางตงฉินใหญ่ที่ซื่อสัตย์รักความยุติธรรมยังหลงเหลืออยู่บ้าง มิยอมเข้าด้วยกับระบบสายอำนาจที่ไร้ธรรมมิยอมเข้าด้วย ขุนนางดี ๆ จึงมักถูกถอด ถูกขับออกจากราชการ หรือไม่ก็ถูกหาเหตุบีบให้ลาออก ราชการบ้านเมืองจึงแปรปรวน ความเป็นธรรมหาได้ยากในแผ่นดิน เบื้องบนเป็นตัวอย่าง เบื้องล่างจึ่งชอบทำตาม บรรดาขุนศึกต่างตั้งตัวเป็นใหญ่ ผู้มีฐานะดีมีเงินต่างปรับตัวกลายเป็นอิทธิพลท้องถิ่น ใช้อำนาจกดขี่ข่มเหงราษฎร แย่งยึดที่ดินทำกินของสุจริตชน อาณาประ ชาราษฎร์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

    นับวันอำนาจรัฐเริ่มอ่อนแอ กลุ่มอิทธิพลจับสายโยงประโยชน์กับขุนนางต่อท่อ ปลุกม็อบให้ราษฎรลุกขึ้นต่อต้าน ทีแรกว่าจ้างม็อบคนละ 300 อีแปะบ้าง 500 อีแปะ รวมข้าวห่อกับกระบอกน้ำต่อการชุมนุมแต่ละครั้ง จนกลุ่มม็อบขยายใหญ่มากขึ้นทุกวัน หัวหน้าแกนนำปลุกระดมมวลชน ก่อม็อบปลุกม็อบ ทุกแห่งหนมีแต่การสร้างภาพ อ้างคุณธรรมจอมปลอม อ้างทำเพื่อประชาชน อ้างทำเพื่อแผ่นดิน หาคนที่มีจริยธรรม คุณธรรมและความสัตย์ซื่อต่อแผ่นดินแทบไม่มี นับวันความแตกร้าวในสังคมมีมากขึ้น ความโกลาหลบนแผ่นดินจึงมิอาจหลีกเลี่ยงได้

    บ้านเมืองที่เกิดกลียุค กฎหมายขาดความศักดิ์สิทธิ์ คนในชาติแบ่งแยกออกเป็นก๊กเป็นก๊วน ตำแหน่งขุนนาง ตำแหน่งนายอำเภอ ตำแหน่งเจ้าเมืองสามารถหาซื้อได้ด้วยการติดสินบนขุนนางชั่วรวมทั้งพวก 10 ขันทีในราชสำนัก เมื่อตำแหน่งที่ได้มานั้นต้องลงทุนสูง เมื่ออยู่ในตำแหน่งจึงต้องหาทางถอนทุนคืนในทุกวิถีทางที่มือจะเอื้อมไปถึงได้

    สังคมมีแต่อำนาจเถื่อน เอารัดเอาเปรียบกัน กฎเกณฑ์สังคมเต็มไปด้วยมาตรฐานซ้ำซ้อน หันไปทางไหนจะพบแต่การฉ้อราษฎร์บังหลวง ผู้คนในสังคมภายใต้ระบบนี้ ต่างยึดคติพจน์ นกยังต้องหาที่เหมาะสำหรับทำรัง ไม่พันธุ์ดี ต้องได้ดินดี ถึงจะเจริญงอกงามได้ การวิ่งเข้าหาสายอำนาจ กับการหาโอกาสให้แก่ตัวเอง กลายเป็น Social Norm อันเป็นปรกติวิสัยของคนยุคนั้น

    เมื่ออำนาจรัฐเสื่อม แผ่นดินจีนยุคนั้นจึงร้อนระอุด้วยไฟแห่งการก่อขบถจลาจล มีกลุ่มของเตียวก๊กที่มาจากกลุ่มวังลิก๊กกุ๋นกำเริบเสิบสานมากที่สุด ให้อ้วนยี่เอาเงินทองไปติดสินบนฮองสีขันทีให้เป็นไส้ศึก คอยคาบข่าวที่ออกมาจากราชสำนัก เตียวก๊กเมื่อกำหนดวันก่อการแล้ว จึงให้ตองจิ๋วคนสนิทถือหนังสือลับไปนัดหมายกับฮองสีขันที ตองจิ๋วกลับทรยศเอาหนังสือลับไปขายให้ขุนนาง ความแตกพระเจ้าเลนเต้ทรงให้ขุนพลโฮจิ๋นพี่ชายโฮเฮาออกปราบจลาจล จับอ้วนยี่ฆ่าเสีย แล้วจับฮองสีขันทีโยนไปตายในคุก

    เมื่อเหตุการณ์แปรผันข่าวการก่อการรั่วไหล เตียวก๊กตกกระไดพลอยโจนประกาศแข็งเมืองตั้งตัวเองขึ้นเป็นเทียนจงกุ๋น หรือเจ้าพระยาสวรรค์ มีกำลังพลสี่สิบห้าหมื่น แจกผ้าเหลืองให้โพกหัวเป็นเครื่องหมาย ชาวบ้านที่ไม่มีอะไรจะเสียมากไปกว่านี้อีกแล้ว รวมทั้งผู้อดอยากหิวโหยหลายหมื่นคน เริ่มนับถือเลื่อมใสเตียวก๊ก อาสาสมัครเป็นทหารกบฏเพิ่มมากขึ้น

    ม็อบโพกผ้าเหลืองชูธงลุกขึ้นสู้ ในเดือนอ้าย พ.ศ. 427 โจรโพกผ้าเหลืองก่อกบฏเต็มรูปแบบ บุกสังหารปล้นเผาจวนขุนนาง แต่ละครั้งที่บุกโจมตี จะพากันร้องตะโกนสะโลแกนด้วยเสียงอันดัง

    บทที่ 2 เล่าปี่พบทองแท้บนกองทราย

    ขุนพลโฮจิ๋นนำความขึ้นกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ จึงโปรดให้มีสารตราแจ้งไปยังทุกหัวเมือง เปิดรับอาสาสมัคร หากผู้ใดมีฝีมือกล้าหาญช่วยปราบม็อบโจรโพกผ้าเหลืองได้ ทางการจะปูนบำเหน็จความดีความชอบให้เป็นขุนนาง ข่าวนี้แพร่ออกไปเปิดโอกาสให้ชาวบ้านกลุ่มเป้าหมาย มองเห็นหนทางสร้างความก้าวแก่ชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ต่างทยอยสมัครเข้าเป็นทหารกันมากมาย

    สถานการณ์บ้านเมืองของจีนในตอนนั้น ว่ากันตามจริงแล้ว รัฐก่อม็อบชนม็อบ ปลุกปั่นให้ผู้คนในแผ่นดินเข่นฆ่ากันเอง ก๊กกับก๊วนต่าง ๆ ประดาหน้าออกมาอ้างประกาศความรักชาติ รักบ้านเมือง รักประชาชน แต่ส่วนใหญ่ขาดอุดมการณ์ ขาดความสัตย์ซื่อ ขาดความถูกต้อง และขาดความเที่ยงธรรม

    สังคมจีนยุคนั้นเป็นยุคที่ขาดการบริหารแบบธรรมาภิบาล และที่สำคัญที่สุด ขาดผู้นำดีเด่นที่ชัดเจนเด็ดขาด เป็นที่ศรัทธาของปวงชนสามารถกอบกู้สถานการณ์บ้านเมืองให้สงบราบคาบลงได้ และในครั้งนั้น ณ ตลาดเมืองตุ้นก้วน มีชายสามคนมาประจัญหน้าพบกันโดยบังเอิญ

    คนแรกชื่อ เล่าปี่ เป็นคนทอเสื่อขาย เมื่อน้อยเรียนหนังสืออยู่ชื่อ เหี้ยนเต็ก เป็นบุตรเล่าเหงขุนนางคงแก่เรียน เล่าเหงเป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ แต่เสียชีวิตเมื่อยังหนุ่ม ครอบครัวเล่าปี่กับมารดาจึงตกยากอาศัยอยู่ที่เมืองตุ้นก้วน ยึดอาชีพทอเสื่อกับร้องเท้าฟางขายเลี้ยงชีวิต ณ หมู่บ้านเล่าซองฉุน

    คนต่อมาชื่อกวนอู เมื่อน้อยชื่อ หุนเตี๋ยง เป็นชาวเมืองฮอตังไกเหลียง สูง 9 ฟุตจีน หน้าแดงดั่งผลพุทราสุก ปากแดงดังชาดแต้ม ตาดั่งนกการะเวก คิ้วดั่งตัวไหม กิริยาท่าทางองอาจน่าเกรงขาม เป็นคนขายถั่วในตลาด เป็นคนสัตย์ซื่อ รักความยุติธรรม เห็นคนมีฐานะดีสามหาวข่มเหงคนทั้งปวง ทนไม่ได้เลยฆ่าเสีย หลบคดีอาญาหนีกระเซอะกระเซิงมาหลายเมือง จนมาโผล่ที่เมืองนี้

    คนที่สามชื่อ เตียวหุย เมื่อน้อยชื่อเอ๊กเต๊ก สูง 8 ฟุตจีน ศีรษะเหมือนเสือดาว ตาโต คางแหลม หนวดแหยมดั่งเสือ เสียงดั่งฟ้าร้อง กิริยาดั่งม้าดีดกะโหลก เป็นคนขวานผ่าซาก พูดจาโผงผาง ตรงไปตรงมา ไม่มีเล่ห์กลสาไถยกับใคร เตียวหุยผู้นี้เป็นคนมีฐานะดี มีทรัพย์สินไร่นาเป็นอันมาก ตั้งร้านขายหมูขายสุราอยู่ในเมืองตุ้นก้วน รักที่จะคบหาคนดีมีสติปัญญา

    ทั้งสามคนพบสนทนาถูกคอกัน ต่างพบว่ามีอุดมการณ์ตรงกัน ยิ่งรู้ว่าเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์พระเจ้าฮั่นเกงเต้ ก็ยิ่งเลื่อมใส เห็นลักษณะท่าทางเล่าปี่เยือกเย็นสุขุม เจรจาหลักแหลม มีจิตใจดี รูปร่างสูง หูยานถึงบ่า มือยาวถึงเข่า ตายาวชำเลืองไปเห็นใบหู ผิวนวลดั่งหยอก ริมฝีปากแดงดั่งแต้มชาต

    เตียวหุยจำได้ว่าบ้านที่เล่าปี่อยู่นั้นชื่อบ้านเล่าซองฉุน เรือนนั้นปลูกอยู่ริมต้นหม่อนสูง 8 วา มีกิ่งเป็นพุ่มดั่งฉัตร ซินแสหมอดูเดินมาเห็นภูมิบ้านกับต้นหม่อนต้องตำรา จึงทายว่าบ้านนี้เป็นที่อยู่ของผู้มีบุญ ชะรอยเล่าปี่ต้องเป็นผู้มีบุญตามที่ซินแสทำนายไว้

    เล่าปี่ใช้คุณลักษณะของความเป็นผู้นำ ที่ยืนอยู่บนฐานแห่งความถูกต้องชอบธรรม สมถะ มักน้อย ที่เป็นต้นทุนสำคัญของเล่าปี่ คือ พูดจาไพเราะหูชักจูงผู้คนได้ผลสัมฤทธิ์ เมื่อกวนอูกับเตียวหุยพนมมือคำนับเล่าปี่ พร้อมปวารณาจะถวายชีวิตให้ความร่วมมือก่อการใหญ่กู้ชาติบ้านเมือง เล่าปี่พนมมือคำนับตอบ พร้อมทั้งหลั่งมธุรสวาจาให้กวนอูกับเตียวหุยว่า

    บทที่ 3 ฉ้อราษฎร์บังหลวง

    อีกสองวันต่อมา ตั๋งโต๊ะเสียทีตกอยู่ในที่ล้อมของเตียวก๊ก เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย คุมกำลังลงไปช่วยจนทัพเตียวก๊กแตกหนีกระจายไป ตั๋งโต๊ะจึงให้หาทั้งสามเข้าพบ ไต่ถามว่าพวกเจ้าเป็นขุนนางตำแหน่งใด เล่าปี่บอกว่าเรามิได้เป็นขุนนาง แต่เป็นกองอาสาสมัครประชาชน ได้ยินดังนั้นตั๋งโต๊ะทำกิริยาดูถูก ให้ขับสามสหายออกไปเสีย เตียวหุยโกรธหุนหันชักกระบี่จะเข้าไปฆ่าตั๋งโต๊ะ เล่าปี่ห้ามไว้ เขาเป็นคนของหลวง ขืนทำไปพวกเราจะกลายเป็นขบถ เตียวหุยน้อยใจบอกว่า คนชั่วอย่างตั๋งโต๊ะไม่ฆ่าเสียตอนนี้ มันใช้อำนาจราชการก่อความเดือดร้อนให้กับบ้านเมืองสืบไปเป็นแน่ ถ้าพี่ทั้งสองไม่ฆ่ามันเสีย เราจงแยกทางกันเถิด เล่าปี่เห็นเตียวหุยโกรธนักจึงปลอบใจว่า เราสามคนสาบานเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตาย จะแยกทางเสียสัตย์ต่อกันอย่างไรได้ เตียวหุยได้ฟังแล้วจึงคลายโกรธ

    ตัวอย่างที่เห็นได้จากกรณีที่โลติด ครูเล่าปี่ ขุนนางตงฉินที่ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ทำดีแต่กลับถูกขันทีชั่วกล่าวโทษให้กลายเป็นร้าย รวมทั้งเหตุการณ์ที่ตั๋งโต๊ะ ผู้นำไร้ปัญญาที่มิรู้การหนักเบา มิรู้จักแยะแยะคนดีกับคนชั่ว ถือตัวยึดอัตตา แบ่งชั้นวรรณะ มิรู้จักอ่านคน รังเกียจกองอาสาประชาชนที่มีเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยเป็นแกนนำ มองข้ามความสำคัญของคนเก่งคนดีมีความสามารถ ส่อให้เห็นถึงความไม่เป็นธรรมในสังคมที่นำพาไปสู่ความเสื่อมโทรมของสถานการณ์บ้านเมืองในยุคนั้นได้อย่างชัดเจน

    สังคมที่ผู้นำมีอำนาจแต่ขาดจริยธรรมคุณธรรม ย่อมจะขาดเสียซึ่งความชอบธรรมในการปกครองบ้านเมืองโดยอัตโนมัติ วัฒนธรรมกับศีลธรรมในสังคมจะเสื่อมถอย คนดีมักจะกลายเป็นที่รังเกียจของสังคม คนถูกกลายเป็นผิด คนชั่วได้ดีด้วยอำนาจเส้นสายค้ำ การที่เล่าปี่ห้ามเตียวหุยมิให้ฆ่าทำร้ายตั๋งโต๊ะ บนหลักการเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่โดยตรรกะทางโลกแล้ว หากตั๋งโต๊ะถูกเตียวหุยฆ่าเสียให้ตายได้ในหนนั้น ประวัติศาสตร์จีนจะไม่มีจอมทรราชตัวร้าย ที่ก่อความเดือดร้อนให้แก่บ้านเมืองอย่างสาหัสในเวลาต่อมาได้

    เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย แม้จะทำงานตามอุดมการณสร้างคุณต่อแผ่นดิน แต่ก็ยังต้องทำดีด้วยการอาศัยอยู่ภายใต้ร่มเงาของผู้อื่น จากเล่าเอี๋ยนเจ้าเมืองตุ้นก้วน สามสหายเดินทางไปถึงเมืองเองฉวน จูฮีนายทัพให้การต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ขอร้องให้อยู่ช่วยกันปราบโจรโพกผ้าเหลือง สามพี้น้องเห็นจูฮีมีจิตใจดีก็รับคำ ออกเป็นทัพหน้าไปตีเตียวโป้น้องชายเตียวก๊กที่เมืองเยียงเซีย ระหว่างการสู้รบ เล่าปี่ยิงเกาทัณฑ์ไปปักที่ไหล่เตียวโป้ จนต้องพาทหารหนีเข้าเมืองและไม่ออกรบอีก ไม่ช้าในเมืองก่อขบถ ลูกน้องทรยศต่อนาย ลอบฆ่าเตียวโป้ตัดศีรษะส่งมาให้จูฮีกับเล่าปี่

    อาศัยกำลังฝีมือของสามสหายร่วมสาบาน จูฮีปราบโจรโพกผ้าเหลืองที่เมืองอ้วนเซีย รวมทั้งอีก 15 หัวเมืองจนราบคาบ ได้รับความดีความชอบจากฮ่องเต้ ยกทัพกลับเมืองหลวง พร้อมกับนำเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยไปด้วยเพื่อถวายตัวต่อฮ่องเต้ที่ลกเอี๋ยง จูฮีได้รับแต่งตั้งเป็นแม่ทัพม้ามีตำแหน่งเฝ้าและเป็นเจ้าเมืองโห้หลำ ส่วนเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย เป็นคนบ้านนอก ขาดเส้นสายคอยวิ่งเต้นภายใน เฝ้าคอยบำเหน็จในเมืองหลวงประมาณเดือนเศษก็ยังไร้วี่แวว แต่ก็ได้ข่าวว่าโลติดพ้นโทษ เพราะแม่ทัพนายกองที่มีใจเป็นธรรมยังหลงเหลืออยู่บ้าง ช่วยกันกราบทูลว่าโลติดไม่มีความผิดเหมือนดั่งที่ถูกจูฮงขันทีกล่าวหา

    มาถึงตอนนี้สามสหายร่วมสาบานพากันเศร้าสลดใจในความเหลวแหลกของราชสำนัก ใกล้จะหมดใจ เผอิญได้พบกับเตียวกิ๋นขุนนางฝ่ายในขี่เกวียนผ่านมา เล่าปี่ปรับทุกข์ให้ฟัง เตียวกิ๋นตกใจจึงรีบพาทั้งสามเข้าเฝ้า พบว่าเป็นความบกพร่องของขันทีทั้ง 10 ที่กีดกันมิให้นำความดีความชอบขึ้นกราบทูล พระเจ้าเลนเต้จึงสั่งให้ปูนบำเหน็จเล่าปี่ไปเป็นเจ้าเมืองอันห้อก้วน ส่วนกวนอูกับเตียวหุยมิได้โปรดว่าอย่างไร

    เส้นทางที่เล่าปี่กว่าจะได้รับความดีความชอบ เป็นเส้นทางสายวิบากที่น้อยคนในยุคนั้นจะฟันฝ่าเข้า ถึงได้ ถ้ามีเส้นสายเงินทองโรยไปตามเส้นทางสายอำนาจ แม้มิได้ทำความดีความชอบอะไรมากมาย ก็มีโอกาสเป็นขุนน้ำขุนนางกับเขาได้ เล่าปี่ปกครองประชาชนโดยธรรม ทำหน้าที่ด้วยความสัตย์ซื่อ แก้ไขปัญหาข้อพิพาทต่าง ๆ ของชาวบ้านที่เมืองอันห้อก้วนอย่างเที่ยงธรรม แค่เดือนเดียวชาวเมืองก็ยกมือท่วมหัว สรรเสริญเล่าปี่กันถ้วนหน้า โดยมีกวนอูกับเตียวหุยคอยพิทักษ์ช่วยเหลืออยู่เคียงข้างมิได้ห่าง

    เล่าปี่กินตำแหน่งเจ้าเมืองล่วงมาเพียง 4 เดือน ลกเอี๋ยงมีพระบรมราชโองการให้ลดจำนวนขุนนางฝ่ายทหารที่ครองตำแหน่งพลเรือนทั่วราชอาณาจักร อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ เล่าปี่มิได้มีเส้นสายในเมืองหลวง เมื่อได้ข่าวจึงแอบหวั่นใจอยู่ว่าอาจถูกปลด ในครั้งนั้น ต๊กอิ้วขุนนางฝ่ายในเป็นข้าหลวงตรวจการตัดทอนขุนนางฝ่ายทหารตามพระบรมราชโองการ

    ต๊กอิ้วมาถึงอันห้อก้วน เล่าปี่รู้ข่าวออกไปรับถึงนอกเมือง ต๊กอิ้ววางมาดของขุนนางใหญ่โต แสดงกิริยาหยามเหยียดเล่าปี่ เวลาแจ้งข้อราชการใช้แส้ม้าชี้หน้าอย่างดูแคลน เตียวหุยจอมมุทะลุเห็นดังนั้นก็โกรธจัด แต่กัดฟันข่มใจไว้ เล่าปี่รักษาอารมณ์เชิญต๊กอิ้วเข้าเมือง ให้การต้อนรับตามธรรมเนียม ต๊กอิ้วขึ้นนั่งในที่สูงของผู้ว่าการ เล่าปี่ลดตัวลงมายืนอยู่ข้างล่าง

    ต๊กอิ้วถามปูมหลังของเล่าปี่ พอรู้ว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ อยู่เมืองตุ้นก้วน มีความชอบปราบจลาจลโจรโพกผ้าหลือง 34-35 ครั้ง จึงโปรดให้มาอยู่รักษาเมืองนี้ ต๊กอิ๋วตวาดว่า เจ้าบ้านนอกอวดคุยโต อวดอ้างเป็นเชื้อพระวงศ์ ที่ว่าออกรบตั้งหลายสิบครั้ง ดูสารรูปของเอ็งแล้ว ไม่เห็นสมทำการศึก บัดนี้ มีพระบรมราชโองการให้ข้ามาลดจำนวนผู้รักษาเมืองฝ่ายทหารลง เอ็งจะคิดอ่านทำประการใด

    เล่าปี่ฟังคำแล้วมิได้ตอบ คำนับลาแล้วกลับไปที่อยู่ ให้ปลัดเมืองมาพบ เล่ากิริยาท่าทางของต๊กอิ้วให้ฟัง ปลัดเมืองจึงว่า ที่ต๊กอิ้ววางศักดาเช่นนั้น หาใช่อื่นใดไม่ เขาอยากจะเอาสินบนจากท่านเข้าพกตัวเอง เล่าปี่ถอนใจจึงว่า ข้าพเจ้ามาอยู่เมืองนี้ ท่านก็เห็นอยู่แล้วว่าข้าพเจ้ามิได้เบียดเบียนราษฎรแม้แต่ด้ายเส้นเดียวหรือเข็มเล่มหนึ่งก็มิเคย แล้วข้าพเจ้าจะหาสิ่งใดไปให้สินบนแก่ต๊กอิ้วได้ เห็นทีจะขัดสนเป็นแน่แท้

    วันต่อมา ต๊กอิ้วกำเริบหนัก เรียกเสมียนพนักงานมาขู่เข็ญโบยตี บีบบังคับให้ใส่ไคล้เล่าปี่ข้อหาฉ้อราษฎร์บังหลวง และกดขี่ประชาชน เล่าปี่รู้ข่าวจะขอเข้าพบชี้แจงนายประตูห้ามมิให้เข้าไป เล่าปี่มิรู้จะทำประการใดกลับมาที่อยู่ด้วยความชอกช้ำใจ ฝ่ายเตียวหุยเห็นความอธรรมของต๊กอิ้ว มีความแค้นใจเสพสุรามึนเมาขี่ม้ามาถึงประตูที่พักต๊กอิ้ว เห็นคนเฒ่าคนแก่ประมาณ 50-60 คนยืนร้องไห้ พอถามจึงทราบว่าต๊กอิ้วโบยตีเสมียนเมืองเพื่อให้ใส่โทษเล่าปี่ พวกเรามาร้องคัดค้าน แต่นายประตูมิให้เข้าไป

    เตียวหุยโกรธจัด ลงจากหลังม้า ผลักนายประตูที่มาขวางกระเด็นไป เห็นเสมียนถูกมัดมือเท้า ต๊กอิ้วนั่งขู่เข็ญต่าง ๆ นานา เตียวหุยมิรอช้าตรงเข้าจิกผมต๊กอิ้วกระชากลากตัวออกมากลางถนน จับต๊กอิ้วติดไว้กับหลักผูกม้า ร้องตวาดว่า อ้ายขี้ฉ้อระยำหมา มึงรู้จักกูน้อยไป แล้วหักกิ่งสน เฆี่ยนฟาดต๊กอิ้วไม่ยั้งมือจนเลือดโทรม เล่าปี่ กวนอูทราบข่าวมาห้าม เตียวหุยจึงว่า อ้ายระยำเป็นขุนนางกังฉิน ไม่ควรให้มันอยู่หนักแผ่นดิน

    กวนอูจึงว่า พวกเราอาสาแผ่นดินมาหลายครั้ง ได้รับความชอบก็เพียงตำแหน่งต่ำ ๆ อ้ายขุนนางกังฉินยังมาหยามทำหยาบช้าข่มเหงดูหมิ่นเราอีก แผ่นดินนี้เหลวแหลก พุ่มไม้หนามหนา ย่อมไม่เหมาะที่หงส์จะอาศัย เล่าปี่เห็นด้วยจึงว่า เบื้องบนเป็นตัวอย่าง เบื้องล่างชอบทำตาม โทษฐานข่มเหงราษฎรต้องกุดหัวทิ้งเสีย แต่นี่เราจะไว้ชีวิต บัดนี้เราไม่พอใจอยู่รับราชการแล้ว ข้าหลวงขี้ฉ้อจงเอาตรานี้กลับไปเมืองด้วย พูดจบเล่าปี่เอาตราประจำตำแหน่งเจ้าเมืองคล้องไว้ที่คอต๊กอิ้ว แล้วเล่าปี่พาน้องชายทั้งสองกับพรรคพวกร่วมตายอีก 20 คนหนีออกจากเมืองอันห้อก้วน ท่ามกลางความอาลัยรักของราษฏร หมายมุ่งไปตายเอาดาบหน้า ต๊กอิ้วที่ถูกเฆี่ยนอาบเลือดสะบักสะบอม ก็ยังมิเข็ดหราบ หาได้สำนึกในความชั่วของตัวเองไม่ รุดไปแจ้งความต่อผู้ว่าราชการมณฑลเต๊งจิ๋ว สั่งให้ออกหมายจับบุคคลทั้งสามไปทั่วทุกหัวเมือง

    บทที่ 4ตั้งเตาเผาขนหู

    มีคนกล่าวว่าอำนาจเป็นเครื่องบั่นทอนความดีอย่างได้ผลและเร็วที่สุด คำกล่าวนี้เห็นได้อย่างชัดเจนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในท้ายยุคของพระเจ้าเลนเต้ ขั้วอำนาจทุกฝ่ายต่างแก่งแย่งชิงอำนาจ มัวเมากับอำนาจที่หลงพลัดเข้ามาในเส้นทางของตน อำนาจทำให้เกิดความหน้ามืด แต่แม้ดวงอาทิตย์ส่องหน้า ยังมองไม่เห็นแสง ปิดดวงตา ปิดสติปัญญา เห็นผิดเป็นชอบ โดยไม่คิดถึงผลร้ายที่จะตามมา แม้กระทั่งครรลองที่จะนำไปสู่ความตกอับ รวมทั้งการสูญสิ้นทุกอย่าง ไร้แผ่นดินที่จะอยู่ หรือแม้แต่ชีวิตของตนเองก็ยังถูกมองข้าม

    ถึงคราวที่พระเจ้าเลนเต้ประชวรหนักยังมิทันสิ้นพระชนม์ภายในราชสำนักเกิดการแก่งแย่งชิงอำนาจกันอย่างรุนแรง ขั้วอำนาจถูกแบ่งออกเป็น 3 ขั้วใหญ่ ได้แก่กลุ่ม 10 ขันทีขั้วหนึ่งกับแม่ทัพโฮจิ๋นพี่ชายของพระนางโฮเฮาอีกขั้วหนึ่ง แถมด้วยอีกขั้วหนึ่ง คือตังไทเฮา พระราชชนนีของพระเจ้าเลนเต้ ที่มาจากตระกูลสามัญชน อุ้มชูหองจูเหียบ หลานชายที่เกิดจากนางอองบิหยินพระสนมเอก ที่ถูกพระนางโฮเฮาลอบปลงพระชนม์ด้วยยาพิษ

    พระนางโฮเฮาร่วมกับพี่ชายแม่ทัพโฮจิ๋นวางแผนยึดอำนาจเบ็ดเสร็จพยายามให้หองจูเปียนบุตรชายของนางขึ้นเสวยราช อีกด้านหนึ่งพระนางตังไทฮอต้องการให้หองจูเหียบหลานที่เกิดจากนางอองบิหยินสนมเอกขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่ ส่วนกลุ่ม 10 ขันทีคอยยุแหย่ทั้งสองขั้ว ขั้วไหนชนะก็จะพลอยชนะด้วย แต่ค่อนเอนไปทางข้างตังไทเฮา เพราะไม่วางใจอิทธิพลแม่ทัพโฮจิ๋นที่เป็นพี่ชายของพระนางโฮเฮา

    ภายในราชสำนักบริหารราชการแผ่นดินเหลวแหลก ทุกขั้วหลงเชื่อคำยุยงของ 10 ขันที ที่ยืนอยู่บนฐานของการฉ้อราษฎร์บังหลวงทุกระดับ ใช้วิชามารในทุกเรื่องโดยไม่เกรงกลัวต่อบาปบุญคุณโทษ ทำการที่ขัดกับคำสอนว่าด้วยจริยธรรม คุณธรรมกับศีลธรรมบ้านเมืองของศาสดาขงจื๊อกับเล่าจื๊อโดยสิ้นเชิง

    ภายใต้แม่ทัพโฮจิ๋น มีนายทหารยังเติร์กหนุ่ม 2 คน คนหนึ่งชื่อโจโฉ อีกคนหนึ่งชื่ออ้วนเสี้ยว ทั้งสองรับราชการอยู่กับโฮจิ๋นในเมืองล๊กเอี๋ยง โจโฉเป็นชาวตำบลเจี้ยวจวิ้น มณฑลเจียงซู มีชื่อรองว่าเม่งเต๊ก เดิมแซ่แฮหัว แต่เนื่องจากโจโก๋ผู้บิดาเป็นลูกเลี้ยงของโจเถิงขุนนาง อยากมีแซ่ดังเลยใช้แซ่แฮหัวแต่นั้นมา ส่วนอ้วนเสี้ยว เป็นชาวเหอหนาน ชื่อรองว่า เปิ่นชู เชื้อสายขุนนางเก่าถึงห้าชั่วคน ทั้งสองคนนี้ จะมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำของทัพต่าง ๆ ที่สู้รบพุ่งกันในสมัยต่อมา

    โฮจิ๋นเหิมเกริมในอำนาจ รู้ความเละเทะของ 10 ขันทีในราชสำนัก แต่จนใจที่น้องสาวพระนางโฮเฮาคอยให้ท้ายกลุ่มขันที จึงทำการมิได้ถนัด อ้วนเสี้ยวแนะโฮจิ๋นให้กำจัด 10 ขันที ด้วยการทำพระราชโองการสั่งทัพหัวเมืองเข้าเมืองหลวง ให้ประกาศจะเอาตัว 10 ขันทีไปฆ่าเสีย โฮจิ๋นเห็นด้วย

    แต่โจโฉฉลาดหลักแหลมกว่า จึงทัดทานว่า การกำจัดพวกขันทีง่ายเสมือนหนึ่งพลิกฝ่ามือ แค่จับตัวหัวโจกส่งกรมพระธรรมนูญก็จบแล้ว ไฉนต้องเรียกทัพจากหัวเมืองมาวุ่นวาย โฮจิ๋นตวาดโจโฉว่า ผู้น้อยอย่างเจ้า จะไปรู้อะไรกับงานใหญ่ โจโฉผิดใจนัก หุนหันออกจากที่ทำการ พร้อมกับออกปากว่า บ้านเมืองจะฉิบหายก็เพราะโฮจิ๋นนี่แหละ

    เหตุการณ์แตกหักมาถึง เมื่อพระเจ้าเลนเต้สิ้นพระชนม์ 10 ขันทีปกปิดข่าว คบคิดกันจะยกหองจูเหียบขึ้นสืบราชสมบัติเพื่อตัดกำลังโฮจิ๋น แต่โฮจิ๋นกับพวกรู้ทัน แก้เกมด้วยการประกาศสถาปนาหองจูเปียนหลานชายขึ้นเป็นองค์ฮ่องเต้ ตั้งหองจูเหียบเป็นตันซิวอ๋อง ทั้งๆ ที่ยังอยู่ท่ามกลางพระราชพิธีปลงพระศพพระเจ้าเลนเต้

    โดยอ้างเหตุผลทางการเมืองว่า บัลลังก์ไม่อาจว่างฮ่องเต้ได้ ริดทอนอำนาจของพระนางตังไทฮอ วันต่อมาพระนางโฮเฮากับโฮจิ๋น กำเริบถึงกับถอดยศนางตังไทฮอ อ้างว่าเป็นแค่เมียขุนนางชายแดน เมื่อสิ้นพระเจ้าเลนเต้แล้วจึงมิควรพำนักอยู่ในพระราชวังต่อไป พระนางถูกขับไปอยู่เมืองเหอเจียนในมณฑลเหอเป่ย ต่อมาโฮจิ๋นส่งทหารไปบังคับให้นางดื่มยาพิษจนตาย

    10 ขันทีแก้เกม วิ่งเข้าหาพระนางโฮเฮา ให้ช่วยเจรจากับน้องชายโฮจิ๋น ด้วยการหักหลังปัดความผิดให้เกงหวนหัวหน้าขันที ที่วางแผนจะยกหองจูเหียบขึ้นเป็นฮ่องเต้ พร้อมกับตัดศีรษะเกงหวนใส่ถาดมาถวายพระนางโฮเฮากับโฮจิ๋น โฮจิ๋นใจอ่อนหลงเชื่อยกโทษให้พวกขันที

    โจโฉกับอ้วนเสี้ยวสองคนยังคงยืนกรานว่าขันทีที่เหลือจะเป็นเสี้ยนหนามร้ายกาจต่อแผ่นดิน ควรจะกำจัดเสีย เกงหวนเปรียบเหมือนต้นหญ้า ขันทีที่เหลือเปรียบเหมือนราก ตายแต่ต้น รากก็จะงอกขึ้นแทน โฮจิ๋นสมุหนายกชะล่าใจมิฟังคำทัดทาน แต่กลับยืนกรานที่จะให้กองทหารจากหัวเมือง เข้ามาปราบกลุ่มขันทีตามความคิดเดิมให้ได้

    ขุนนางตงฉินน้อยใหญ่ต่างคัดค้านความคิดของโฮจิ๋น ที่คิดนำทัพที่คุมโดยตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวงบอกว่า ตั๋งโต๊ะเป็นคนพ่ายศึก ตั๋งโต๊ะเสมือนเสือหิว ขืนให้เข้าเมืองมันจะกัดไม่เลือก ขุนนางอีกคนหนึ่งบอกว่า ข้ารู้จักตั๋งโต๊ะดี คนผู้นี้หน้าเนื้อใจเสือ ถ้าให้เข้ามาจะต้องเป็นภัยแน่ โฮจิ๋นหาฟังคำทัดทานไม่ มีคำสั่งให้ตันหลิม เจ้ากรมอาลักษณ์ร่างหนังสือให้ทัพหัวเมืองเข้าเมืองหลวงล๊กเอี๋ยง

    ตันหลิมยังทักท้วงว่า ท่านมิควรทำการอย่างหลับตา โบราณว่า คนที่ปิดตาจับนกกระจอก ก็จะเสียแรงเปล่า ท่านมีอำนาจราชศักดิ์เต็มมือ ไฉนต้องใช้กำลังมากพ้นกับพวกขันที เสมือนหนึ่งตั้งเตาเผาขนหูเพียงเส้นเดียว การเรียกทัพหัวเมืองเข้าพระนคร เท่ากับไปเรียกคนกล้าหลายคนมาไว้แห่งเดียวกัน ต่างคนต่างคิด ต่างใช้อาวุธทำร้ายกันเพื่อแย่งความเป็นใหญ่ ภายภาคหน้าจะเสียหาย บ้านเมืองจะวุ่นวายไม่เป็นการ

    โฮจิ๋นตวาดกลับด้วยเสียงอันดัวว่า ” ทำการใหญ่ขืนหวาดระแวงกันเช่นนี้ จะทำการใหญ่ได้อย่างไร พวกหนอนหนังสือคิดมากไม่เข้าเรื่อง ไม่ต้องมาพูดอีกแล้ว..” ในครานั้น ขุนนางตงฉินหลายคนรวมทั้งโลติด ได้คืนตราตั้งลาออกจากตำแหน่งขุนนาง

    ขันทีรวมกลุ่มคิดกำจัดโฮจิ๋นลูกคนขายหมู โดยรำพึงว่า หวังพึ่งภูผา ภูผาก็ล่ม หวังพึ่งคน คนก็ม้วย แล้วจะทำอย่างไรดี เตียวเหยียงขันทีอาวุโสจึงแนะว่า เมื่อลมเปลี่ยนทิศ เราก็ต้องเบนหัวเรือ ทุกคนจึงเข้าประจบพระนางโฮเฮา ในขณะเดียวกันร่วมวางแผนลวงโฮจิ๋นมาฆ่าในวัง โดยปลอมพระราชเสาวนีย์พระนางโฮเฮาให้โฮจิ๋นเข้าเฝ้า โจโฉกับอ้วนเสี้ยวทัดทานอย่างไร โฮจิ๋นก็ไม่ฟัง บอกว่าน้องสาวตัวเองแท้ ๆ จะไม่ไว้ใจได้อย่างไร

    โจโฉกับอ้วนเสี้ยวยกกองทหารตามไป แต่ถูกห้ามเข้าในเขตพระราชสำนัก จึงได้แต่คอยทีอยู่นอกกำแพงวัง โฮจิ๋นถูกรุมลอบทำร้ายจากพวกขันทีจนตาย เสียทีถูกตัดศีรษะโยนออกมานอกกำแพงวัง โจโฉกับอ้วนเสี้ยวจึงตัดสินใจยกกองทหารพังกำแพงวัง เข้าไปบุกฆ่าขันทีในเขตพระราชฐานจนสิ้น ใครที่ไร้หนวดไร้เคราท่าทางนุ่มนิ่มจะถูกฆ่าตายหมด มีแต่เตียวเหยียงกับอีก 3 ขันทีหัวโจกชิงพาตัวสองพระราชบุตรหองจูเปียน

    ฮ่องเต้กับหองจูเหียบเล็ดรอดหนีออกจากวัง โดยมีกองทหารของโจโฉกับอ้วนเสี้ยวตามล่าไปติด ๆ พอพลบค่ำเตียวเหยียงเห็นจวนตัวหนีไม่พ้นก็โจนน้ำตาย ส่วนขันทีต๋วนกุยถูกอ้วนเสี้ยวฆ่าแล้วตัดเอาศีรษะผูกคอม้า พร้อมทั้งเชิญเสด็จองค์ฮ่องเต้กับตันซิวอ๋องสองพระราชบุตรกลับเข้าเมืองหลวง

    บทที่ 5 มนุษย์ทุกคนมีราคาของตนเอง

    ความชุลมุนวุ่นวายในราชสำนักไม่น่าจะเกิดขึ้น ถ้าพระเจ้าเลนเต้ทรงตั้งอยู่ในขัตติยะราชธรรม ทรงแต่งตั้งหองจูเปียนเป็นรัชทายาทตามราชประเพณี และไม่ปล่อยให้พวก 10 ขันทีกับพระมเหษีโฮเฮากับพระราชมารดามาก้าวก่ายราชการแผ่นดินมากจนเกินไป ถ้าการบริหารราชการแผ่นดินมีธรรมาภิบาลเป็นที่ตั้ง เตียวก๊กก็มิอาจก่อม็อบ จนกลายเป็นกองกำลังกลุ่มโจรโพกผ้าเหลืองทำการจลาจลบนแผ่นดินได้

    ตั๋งโต๊ะ เป็นชาวเมืองหลินเถา มณฑลเจียงซู พระเจ้าเลนเต้โปรดให้ไปปราบโจรโพกผ้าเหลือง แต่ตั๋งโต๊ะด้อยฝีมือแตกทัพถอยหนี อาศัยเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยเข้าช่วยรบจึงรอดมา ตั๋งโต๊ะใช้วิชามารติดสินบน 10 ขันทีช่วยเพ็ดทูลความดีความชอบ ทั้งๆ ที่ไม่มีความดีแม้แต่น้อย แต่ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองซีหลง เมื่อได้รับคำสั่งให้ยกทัพเข้าเมืองเพื่อจับขันทีฆ่าเสีย ตั๋งโต๊ะยกไพร่พลสิบหมื่น พร้อมด้วยนายทหารเอก ลิฉุย กุยกี เตียวเจ หวนเตียว พร้อมเครื่องศัตราวุธยกมาตั้งอยู่นอกกำแพงเมืองลกเอี๋ยงราชธานี

    เหตุการณ์เป็นจริงดั่งที่โจโฉเคยกล่าวไว้ บ้านเมืองจะฉิบหายก็เพราะโฮจิ๋น ตันหลิมอาลักษณ์ก็เคยทัดทานไว้ว่า จะเผาขนหูเส้นเดียวทำไมถึงต้องตั้งเตาเผา แค่ปราบกระเทยขันที 10 คน ทำไมต้องสั่งให้ทัพหัวเมืองยกทัพเรือนแสนประดากันเข้าเมืองหลวง แค่คิดก็ผิดแล้ว

    นับตั้งแต่ทัพตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวงแล้ว ก็เริ่มขยายเครือข่ายอิทธิพลในลกเอี๋ยง เร่งเกลี้ยกล่อมทหารที่เคยอยู่กับโฮจิ๋นเข้ามาเป็นพรรคพวก วันหนึ่งตั๋งโต๊ะแต่งโต๊ะสุราอาหารในพระราชอุทยานอุยเบ้งหุยเชิญขุนนางน้อยใหญ่มากินเลี้ยง ทุกคนเกรงอำนาจตั๋งโต๊ะก็พากันมาตามคำเชิญ พอได้เวลาตั๋งโต๊ะมือถือกระบี่ร้องห้ามว่า ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งเสพสุรา เรามีข้อราชการสำคัญจะปรึกษาด้วย ขุนนางทั้งปวงก็ตกใจนิ่งฟังอยู่

    ตั๋งโต๊ะประกาศว่า ทุกวันนี้หองจูเปียนได้เสวยราชสมบัติ แต่ไม่มีสง่าราศี ไม่มีกิริยาท่วงทีเป็นผู้นำให้ขุนนางกับประชาชนเคารพนับถือ ส่วนหองจูเหียบมีสติปัญญา ความรู้ความสามารถดีกว่า จึงอยากให้หองจูเปียนสละราชสมบัติ แล้วให้หองจูเหียบเสวยราชย์แทน นักการทหารอย่างตั๋งโต๊ะตบท้ายด้วยคำอ้างยอดนิยมในหมู่นักการเมืองว่า ที่ทำอย่างนี้เพื่อความร่มเย็นผาสุกของปวงประชาทั้งแผ่นดิน

    ขุนนางทุกฝ่ายพากันตกตะลึง แต่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นนิ่งเงียบอยู่ มีแต่เตงหงวนเจ้าเมืองเต๊งจิ๋วคนเดียวลุกขึ้นยืนร้องแก่ตั๋งโต๊ะว่า ท่านเป็นแต่ขุนนางบ้านนอก ไฉนจึงบังอาจคิดอ่านจะถอดพระเจ้าแผ่นดิน อันหองจูเปียนนั้นเป็นพระราชบุตรเอก มิได้ทำผิดสิ่งใด ท่านคิดอ่านอย่างนี้ถือว่าเป็นขบถ

    ตั๋งโต๊ะได้ฟังดังนั้นก็โกรธชักกระบี่ออกจะฆ่าเต็งหงวน แต่ลิยูที่ปรึกษาตั๋งโต๊ะเหลือบตาเห็นองครักษ์เต็งหงวนคนหนึ่งรูปร่างสง่า สูงใหญ่ ถืออาวุธทวน ท่าทีเข้มแข็งนัก จึงทำเป็นห้ามตั๋งโต๊ะไว้ ขุนนางทั้งปวงก็ห้ามเต็งหงวน แล้วพากันแยกย้ายกลับที่พัก มาทราบภายหลังว่า นายทหารองครักษ์เต็งหงวนผู้นั้นชื่อ ลิโป้ นักรบยอดฝีมือแห่งยุค

    ตั๋งโต๊ะมิได้ลดความพยายาม บีบสภาขุนนางเรื่องที่จะปลดฮ่องเต้ แต่ขุนนางทั้งปวงต่างทัดทานไม่เห็นด้วย โลติดประธานองคมนตรีลุกขึ้นค้านว่าที่เต็งหงวนพูดนั้นถูกแล้ว ตั๋งโต๊ะโกรธจัด จะฆ่าโลติดให้ได้ แต่ถูกขุนนางรวมทั้งอ้องอุ้นห้ามไว้ ด้วยเห็นว่าโลติดเป็นขุนนางเก่าแก่เป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป หากฆ่าเสียจะทำให้บ้านเมืองวุ่นวายได้

    รุ่งขึ้นเช้า เต็งหงวนกับลิโป้คุมทหารออกไปท้ารบกับตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะคุมทหารออกรับ ลิโป้ควบม้ารำทวนเข้ามาแทง ตั๋งโต๊ะตกใจกลัวลิโป้ชักม้าหนีหลบเข้าหลังทหาร เต็งหงวนขับทหารหนุนไล่ฟันจนตั๋งโต๊ะกับทหารแตกกระจาย ต้องจัดตั้งค่ายใหม่ไว้รองรับ

    ตั๋งโต๊ะกลับค่ายด้วยอารมณ์ฮึดฮัด ออกปากกับบรรดานายทหารว่าเห็นนักรบมามาก แต่ไม่พบผู้ใดเข้มแข็งห้าวหาญเหมือนลิโป้ อยากจะได้ลิโป้มาเป็นพวก ลิซกกุนซือรับอาสาไปเกลี้ยกล่อมลิโป้ เพราะเคยเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ขอม้าเซ็กเธาว์ไปล่อ ตั๋งโต๊ะลังเลไม่ยอม ลิซกจึงว่า แค่ม้าตัวเดียว แลกกับบ้านเมือง จะเลือกอย่างไหน?

    ตั๋งโต๊ะจึงยอม พร้อมกับจัดทองคำพันตำลึงกับพลอยสิบยอด เข็มขัดประดับหยกสายหนึ่งให้ลิซกนำไปให้ลิโป้ ลิซกเกลี้ยกล่อมลิโป้อยู่นาน หว่านล้อมว่าแทนที่จะเป็นนายทหารช่วยแค่เจ้าเมือง กับเป็นขุนทัพระดับชาติภายใต้อำนาจตั๋งโต๊ะ อนาคตย่อมไปได้ไกลกว่า

    ลิโป้ละโมบหลุดปากว่า คำของท่านลิซกเหมือนกับแหวกหมู่เมฆมองเห็นตะวัน ลิโป้เห็นแก่ลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่คำนึงถึงจริยธรรมกับความชอบธรรม ตรงรี่เข้าไปฆ่าเต็งหงวนพ่อบุญธรรมของตัวเองในที่พัก แล้วตัดศีรษะเต็งหงวนห่อผ้านำไปสวามิภักดิ์กับตั๋งโต๊ะ

    เห็นลิโป้เข้ามาหา ตั๋งโต๊ะออกมารับถึงกับคุกเข่าคำนับลิโป้ บอกว่าท่านมาหาข้าพเจ้า อุปมาเหมือนฝนตกลงห่าใหญ่ น้ำท่วมเลี้ยงต้นกล้าชุ่มชื่น ใบเขียวสดขจีมีชีวิตขึ้นแล้ว พร้อมกับออกปากรับลิโป้เป็นบุตรบุญธรรมแทนที่เต็งหงวน นำเสื้ออย่างดีกับเกราะทองคำมากำนัลแก่ลิโป้ แต่งตั้งให้เป็นนายทหารองครักษ์เจ้า กรมฝ่ายขวาคอยรับใช้อยู่ใกล้ชิด มนุษย์ทุกคนย่อมมีราคาของตนเอง ลำพังแค่ม้าเซ็กเธาว์ แก้วแหวนเงินทอง เสื้อเกราะทองคำกับตำแหน่งลาภยศ ก็สามารถทำให้ยอดฝีมืออย่างลิโป้ หันหลังให้แก่ความชอบธรรมได้

    ตั๋งโต๊ะเมื่อได้ลิโป้มาอยู่ข้างตัว คิดอ่านสิ่งใดก็สะดวกขุนนางน้อยใหญ่แลทหารในเมืองตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของตั๋งโต๊ะทั้งสิ้น อยู่มาวันหนึ่ง ตั๋งโต๊ะสั่งให้ลิโป้คุมกำลังกว่าพันคนเข้าล้อมพระราชวัง แล้วตั้งโต๊ะเชิญขุนนางมากินเลี้ยงในที่เฝ้า มือถือกระบี่ร้องประกาศถอดหองจูเปียนออกจากตำแหน่งฮ่องเต้ แล้วจะตั้งหองจูเหียบขึ้นเสวยราชสมบัติแทน ผู้ใดไม่เห็นด้วยข้าพเจ้าจะฆ่าเสีย

    ขุนนางฟังแล้วต่างนิ่งอึ้ง มีแต่อ้วนเสี้ยวคนเดียวที่ลุกขึ้นยืนคัดค้านว่า หองจูเปียนเป็นพระราชบุตรเอก พระราชบิดายกราชสมบัติให้ มิได้มีความผิดสิ่งใด ท่านทำอย่างนี้มิใช่เป็นการคิดขบถหรือ ตั๋งโต๊ะได้ยินก็โกรธ ตวาดว่าถ้าขืนขัดขวาง ขอให้ดูกระบี่ในมือว่าจะคมหรือไม่ อ้วนเสี้ยวผู้กล้าย้อนว่า แล้วกระบี่ของข้าพเจ้าที่มีอยู่มันก็คมเหมือนกัน ทั้งสองต่างชักกระบี่ ลิยูที่ปรึกษาเข้าห้ามตั๋งโต๊ะ ขุนนางทั้งปวงก็เข้าห้ามอ้วนเสี้ยว ซึ่งโกรธจัดพาทหารกับพลพรรคยกออกจากเมืองหลวง

    ผู้นำที่สร้างความผิดพลาดให้กับการบริหารบ้านเมือง ส่วนมากจะอยู่ได้เห็นความหายนะที่ตนได้ก่อขึ้น แต่ในกรณีของโฮจิ๋นแม่ทัพผู้นำที่สร้างความวิบัติให้กับบ้านเมือง หาได้มีชีวิตยืนยาวได้อยู่เห็นความแตกร้าวพินาศฉิบหายที่ตนเองได้ก่อขึ้นไม่ เป็นอุทาหรณ์สำหรับคนคิดทำการใหญ่ ถ้าถือคติข้ามาคนเดียว ไม่ฟังเสียงทักท้วงของผู้ใต้บังคับบัญชา สุดท้ายแม้ชีวิตของตัวเองก็เอาไม่รอดอย่างโฮจิ๋น

    บทที่ 6 ขุนนางคิดฆ่าตั๋งโต๊ะด้วยน้ำตา

    โจโฉขำขุนนางคิดฆ่าตั๋งโต๊ะด้วยน้ำตา

    พ.ศ.733เมื่อสิ้นปรปักษ์ฝ่ายค้านกล้าแสดงออกของขุนนางอย่างโลติดกับอ้วนเสี้ยวสามารถคุมเสียงในสภาขุนางได้แล้ว ตั๋งโต๊ะทำการเหิมเกริมพลิกแผ่นดินด้วยการถอดหองจูเปียนโอรสแห่งสวรรค์ลงจากราชบัลลังก์ แล้วประกาศแต่งตั้งหองจูเหียบเป็นฮ่องเต้ถวายพระนามว่า พระเจ้าเหี้ยนเต้ ในขณะที่มีพระชันษาเพียง 9 พรรษา

    ส่วนฮ่องเต้องค์เดิมหองจูเปียนที่ถูกถอดกับพระมารดานางโฮเฮาถูกนำตัวไปคุมขังไว้ ต่อมา ด้วยความอัดอั้นในพระทัย หงจูเปียนได้เขียนโคลงปิดไว้ที่ผนังตำหนักใจความว่า หากผู้ใดซื่อสัตย์ต่อพระราชบิดาเรา ขอให้ช่วยถอนแค้นในอกเราได้ คุณนั้นจะหาอุปมามิได้เลย

    ครั้นตั๋งโต๊ะทราบเนื้อความก็โกรธ สั่งให้ลิยูคุมบู๋ซู Dead Squad สิบคนให้ไปฆ่า 2 แม่ลูกเสีย ลิยูยื่นจอกสุราที่ใส่ยาพิษให้หองจูเปียนเสวย หลอกทูลด้วยเล่ห์ว่าบัดนี้บ้านเมืองสงบสุข ตั๋งโต๊ะจึงให้ข้าพเจ้าเอาสุรามาถวาย นางโฮเฮาจึงว่าที่ตั๋งโต๊ะเอาสุรามาให้เสวยนั้นชอบแล้ว แต่ตัวท่านผู้เอามาจงกินให้เราเห็นก่อน จึงจะให้บุตรเรากิน

    ลิยูได้ยินก็โกรธ จึงเอาโซ่ตรวนกับกระบี่ให้แม่ลูกเลือกเอาว่าจะตายแบบไหน ในที่สุด ลิยูกับพวกก็ฆ่านางโฮเฮากับพระสนมตาย ก่อนตายนางโฮเฮาได้ลำเลิกด่าพี่ชายโฮจิ๋นว่าไร้ความคิด พาโจรเข้าเมืองหลวงเขตพระราชฐาน จนทำอันตรายแก่นางและบุตรครั้งนี้ เมื่อสิ้นนางโฮเฮาแล้ว ลิยูจึงเอาสุราที่ไส่ยาพิษนั้นกรอกปากหองจูเปียนจนตาย

    นับตั้งแต่นั้นมา ตั๋งโต๊ะแต่งตั้งตัวเองเป็นสมุหนายกถืออาญาสิทธิ์เผด็จการเบ็ดเสร็จ มีอำนาจเหนือฝ่ายทหารและพลเรือน นับวันก็ยิ่งทำความหยาบช้าปล้นยึดทรัพย์สินของประชาราษฏร์ เข้ายึดเมืองยงเซีย เก็บกวาดเอาทรัพย์สิ่งของเข่นฆ่าผู้ชายเป็นจำนวนมาก แล้วตัดศีรษะคนตายบรรทุกเกวียนต้อนผู้หญิงเอาไว้
    แล้วประกาศแก่ขุนนางและประชาราษฏร์ว่า ยกทัพไปจับโจรได้จึงตัดศีรษะเสีย ขุนนางกับประชาชนทั่วไปนับวันยิ่งเกลียดชังตั๋งโต๊ะมากขึ้น มีขุนนางหลายคน หนึ่งในจำนวนนั้นชื่อเงาฮู พกมีดพยายามจะฆ่าตั๋งโต๊ะ ลิโป้วิ่งเข้าสะกัดช่วยไว้ทัน ตั๋งโต๊ะจึงสั่งให้ทหารจับเงาฮูนำไปแล่เนื้อจนสิ้นชีวิต ผู้คนก็ยิ่งเกลียดกลัวตั๋งโต๊ะมากขึ้นทุกวัน

    ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับโฮจิ๋น ผู้นำที่กำหนดวันตายของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ตั๋งโต๊ะจึงเป็นผู้นำอีกคนหนึ่งที่กำหนดวันสิ้นสุดอำนาจของตัวเองไว้ล่วงหน้าโดยไม่รู้ตัวเช่นเดียวกัน หลงผิดคิดว่า อำนาจที่ตนยึดมาได้นั้น จะยั่งยืนจีรังไปตลอดกาล จอมทรราชย์เหิมเกริมจนชะล่าใจ หารู้ไม่ว่านอกจากผู้คนที่คอยสาปแช่งทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว ยังมีขุนนางกับทหารที่รักชาติบ้านเมือง คอยทีหาโอกาสกำจัดทรราชย์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าจะเป็นการรักชาติบ้านบ้านเมืองจริง หรือแอบอ้างชาติบ้านเมืองเพื่อรวบอำนาจให้แก่ตัวเองที่มีปรากฏมาทุกยุคทุกสมัย

    รวมทั้งอ้วนเสี้ยวผู้ปะทะวาจากับตั๋งโต๊ะสบัดก้นออกจากที่ประชุม แต่ก็ยังถูกแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองปุดไฮด้วยกุศโลบายประชานิยมของตั๋งโต๊ะ เพื่อสร้างภาพลักษณ์เสริมบารมีอวดปวงประชาว่า ภายใต้อำนาจตัวเอง ยังมีอ้วนเสี้ยวผู้มีปูมหลังมาจากตระกูลขุนนางถึง 4 ชั่วคนรับราชการอยู่ด้วย

    อ้วนเสี้ยวได้ยินกิตติศัพท์ตั๋งโต๊ะทำการหยาบช้าฆ่าพระนางโฮเฮากับหองจูเปียน อีกทั้งยังทำการข่มเหงราษฏรเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า จึงแต่งหนังสือลับไปถึงอ้องอุ้นขุนนางในเมืองหลวง หาคนร่วมกันคิดล้างตั๋งโต๊ะ ตนเองแม้อยู่ที่เมืองปุดไฮ ก็หาได้นิ่งนอนใจเร่งฝึกฝนทหารกับส้องสุมกำลังอาวุธ หากอ้องอุ้นเห็นพร้อมด้วยก็จงเร่งคิดการในเมืองหลวง ได้เวลาดีจะยกกองทัพมากำจัดศัตรูแผ่นดินให้สิ้นซาก

    อ้องอุ้นขุนนางผู้ใหญ่ส่งเทียบเชิญขุนนางกับพวกที่เกลียดชังตั๋งโต๊ะมาชุมนุมที่บ้านต่างร่วมปรับทุกข์ถึงความอัดอั้นที่ต้องทนดูตั๋งโต๊ะใช้อำนาจกระทำการหยาบช้าต่อแผ่นดิน เล็งมิเห็นผู้ใดที่จะช่วยคิดทำนุบำ รุงสุขให้แก่แผ่นดินได้ แล้วขุนนางทุกคนต่างก็นั่งร้องไห้ มีโจโฉคนเดียวที่ลุกยืนขึ้นและตบมือหัวเราะด้วยเสียงอันดัง อ้องอุ้นกับขุนนางโกรธนักจึงว่า ทุกคนกำลังกลัดกลุ้มที่คิดการล้างตั๋งโต๊ะไม่ได้ ไฉนตัวถึงได้มาตบมือหัวเราะดังนี้

    โจโฉจึงตอบว่า ข้าพเจ้าขันเพราะเห็นทุกท่านคิดจะฆ่าตั๋งโต๊ะด้วยน้ำตา ต่อให้พวกท่านร้องไห้ถึงเช้า น้ำตาท่วมพื้น น้ำตาจะฆ่าตั๋งโต๊ะได้เรอะ? ข้าพเจ้ามิได้หัวเราะเยาะ แต่สังเวชใจที่ไม่มีใครคิดสังหารตั๋งโต๊ะ แม้ข้าพเจ้าจะเป็นผู้น้อยด้อยฝีมือ แต่ขออาสาตัดหัวตั๋งโต๊ะเอามาแขวนประจานไว้ทดแทนคุณชาติ พร้อมกับย้ำว่าคนที่จะฆ่าตั๋งโต๊ะได้นั้น จะต้องเป็นคนที่ตั๋งโต๊ะไว้ใจและอยู่ใกล้ชิดที่สุด ทุกวันนี้ที่ตนเพียรทำดีให้ตั๋งโต๊ะใช้สอย ใช่จะเห็นแก่ลาภสักการะสิ่งใดหามิได้ แต่คิดจะฆ่าตั๋งโต๊ะเสียให้จงได้

    โจโฉรับดาบโบราณจากอ้องอุ้นไปฆ่าตั๋งโต๊ะ

    อ้องอุ้นจึงให้ทุกคนกลับ พาโจโฉไปที่ห้องลับ ซักถามถึงแผนการที่จะเข้าไปฆ่าตั๋งโต๊ะ อ้องอุ้นท้วงว่างานนี้เสี่ยงมาก ท่านโจโฉอาจจะเป็นเหมือนเงาฮูที่พยายามลอบฆ่าตั๋งโต๊ะที่ประตูวัง โจโฉตอบว่า ท่านถูกเพียงครึ่งเดียว สถานการณ์การต่างกันย่อมส่งผลออกมาที่ไม่เหมือนกัน คนที่จะฆ่าตั๋งโต๊ะได้นั้น ต้องเป็นคนที่ตั๋งโต๊ะไว้ใจที่สุด อ้องอุ้นยินดียิ่งนัก ลุกขึ้นคุกเข่าคำนับแล้วรินสุราคารวะโจโฉ พร้อมกับมอบดาบกระบี่สั้นโบราณให้โจโฉ เพื่อเหน็บไว้ในชายเสื้อสำหรับไปฆ่าตั๋งโต๊ะตามแผนการ

    โจโฉเป็นที่ไว้ใจของตั๋งโต๊ะ เข้านอกออกในทำเนียบสมุหนายกได้ เห็นตั๋งโต๊ะเอนกายหันหลังอ่านหนังสืออยู่ จึงชักกระบี่สั้นจะเข้าแทง ตั๋งโต๊ะเห็นเงาโจโฉในกระจก จึงหันหน้ากลับมาถลึงตาถามว่า มึงจะทำร้ายกูหรือ ประจวบกับลิโป้โผล่เข้ามาในห้องพอดี โจโฉตกใจจนเหงื่อท่วมตัว รีบคุกเข่าลงพร้อมชูกระบี่ยื่นด้ามให้ตั๋งโต๊ะ แก้ตัวว่ากระบี่โบราณเล่มนี้มีค่ามาก ตกทอดมาหลายชั่วอายุคน จึงขอนำมาเพื่อสนองคุณท่าน ตั๋งโต๊ะเป็นคนโลภเห็นแก่ได้อยู่แล้ว จึงรับกระบี่ไว้ โจโฉจึงอำลาออกจากตำหนักควบม้าออกไป

    ขณะที่ตั๋งโต๊ะกำลังชื่นชมดาบโบราณ ลิโป้ติงขึ้นมาว่า ท่านมิรู้หรือว่ามันกำลังจะฆ่าท่าน ตั๋งโต๊ะฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงสั่งให้ลิโป้ไปจับตัวโจโฉมา พอดีกับที่ลิยูกุนซือเข้ามาทราบเรื่องจึงยกมือห้ามไว้ อย่าเพิ่งรีบร้อนจับตัวโจโฉ ไปดักดูที่บ้านโจโฉก่อน ถ้ามันคิดจะฆ่าท่านตั๋งโต๊ะจริง มันจะไม่กลับบ้าน แต่จะต้องหนีออกจากเมือง ถ้ามันไม่หนีก็ยังคงเป็นเพียงแค่สงสัยในพฤติกรรมไว้ก่อน

    นี่คือความฉลาดหลักแหลมของลิยู ถ้าลิโป้ผลีผลามรีบด่วนไปจับตัวโจโฉมา โจโฉก็ยังคงแก้ตัวสารพัดให้หลุดพ้นจากข้อหาได้ แต่เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่ลิยูขุดหลุมพรางดักไว้ โจโฉตัดสินใจขี่ม้าหนีออกจากเมืองกลางดึกในคืนนั้น ไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าถูกตั๋งโต๊ะจับฆ่า

    ลิยูจึงว่าที่โจโฉคิดทำการครั้งนี้ ต้องมีคนสมรู้ร่วมคิดกันหลายคน จึงทำการใหญ่ได้ถึงเพียงนี้ จำต้องจับตัวโจโฉมาให้ได้เพื่อขยายผล สืบเอาพวกที่ร่วมมือกันจึงจะสิ้นเสี้ยนหนาม ตั๋งโต๊ะเห็นด้วย จึงให้เขียนรูปโจโฉ แต่งหนังสือแจ้งไปยังทุกหัวเมือง ผู้ใดที่จับส่งโจโฉมาได้ จะได้รับปูนบำเหน็จเลื่อนให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ทองคำหนัก 10 ชั่ง พร้อมทั้งให้สิทธิ์ในการเก็บส่วยหนึ่งหมื่นครัวเรือน

    โจโฉมอบดาบ ได้เป็นอีกแง่มุมหนึ่งของชีวิตโจโฉ ที่ถูกชาวจีนวิพากย์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องมาหลายร้อยปี เขาวิจารณ์กันว่า โจโฉเป็นคนเจ้าเล่ห์ โหดร้าย ปลิ้นปล้อน สับปรับ คิดเอาแต่ตัวรอด หรือเป็นคนรักชาติ รักแผ่นดิน กล้าหาญเด็ดเดี่ยว กล้าตัดสินใจ กล้าได้กล้าเสีย มีลำหักลำโค่น แล้วนักบริหารอย่างท่านละครับ คิดว่าโจโฉเป็นคนอย่างไร?
    ______________________
    – บุรุษหนุ่มผู้ขันอาสาปราบทรราชย์ตั๋งโต๊ นาม”โจโฉ”ผู้มีจิตใจกล้าหาญผิดขุนนางทั้งปวงทั้งๆที่เป็นข้ารับใช้พระบาทองค์ฮ่องเต้แห่งบัลลังก์มังกรเหมือนกัน
    – บุรุษผู้ทำนายอนาคตของบ้านเมืองในคราวยุคโฮจิ๋นเรืองอำนาจไว้ว่า ” บ้านเมืองจะฉิบหายก็เพราะโฮจิ๋นนี่แหละ ”
    – บุรุษผู้ใช้กลยุทธ์ใน๓๖กลยุทธ์ของซุนปิน(หลานท่านซุนวู) ในบทที่๓๖ว่าด้วย “หนี คือ สุดยอดกลยุทธ์”
    เขาดำเนินกลยุทธ์ “หนี” เพื่อตั้งตัวเตรียมการใหญ่รอคอยกลับมาปราบทรราชย์แผ่นดิน? หรือ “หนี”เพื่อมีชีวิตรอด ทิ้งทอดธุระแผ่นดินให้ผู้อื่นรับช่วงต่อเพียงเท่านั้น?

    โปรดติดตามวีรกรรมของบุรุษไม่ธรรมดาผู้นี้นามว่า “โจโฉ” ผู้ไม่ยอมให้โลกทรยศ แล้วคุณจะรู้ว่า ” สถานการณ์นั้นสร้างวีรบุรุษเสมอ ” หรือ ภาษายุคสมัยใหม่กล่าวว่า “ยามวิกฤติย่อมมีโอกาสเสมอ” บุคลิกของผู้นำในสามก๊กเริ่มฉายแววออกทุกขณะ

    บทที่ 7 ผู้ยอมทรยศโลก แต่ไม่ยอมให้โลกทรยศ

    โจโฉผู้ยอมฆ่าคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้โลกทรยศ

    จากตำแหน่งเล็ก ๆ ที่รับใช้โฮจิ๋น ทำให้โจโฉเริ่มสะสมประสบการณ์ความผกผันทางการเมือง เรียนรู้จนเคยชินกับความปลิ้นปล้อนเจ้าเล่ห์ของผู้คนรอบข้าง โจโฉได้พัฒนาบุคลิกภาพของตัวเองให้กลายเป็นคนรอบคอบ รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้คน ในหลายกรณีข้อดีดังกล่าวได้ทำให้โจโฉกลายเป็นผู้นำที่ขี้ระแวงไปโดยมิรู้ตัว

    โจโฉควบม้าหนีออกจากเมืองหลวงลกเอี๋ยงในฐานะคนลี้ภัย Fugitive อย่างเต็มตัว จนมาถึงเมืองจงพวน ชาวด่านเห็นรูปโจโฉจึงจำได้ จับตัวโจโฉส่งไปให้ตันก๋งเจ้าเมืองจงพวน ตันก๋งสอบโจโฉด้วยตนเอง โจโฉโกหกว่าชื่อฮ่องอูเป็นพ่อค้าขายดอกไม้ ตันก๋งจึงว่าวันนี้ค่ำแล้วให้นำโจโฉใส่คุกไว้ก่อน รุ่งขึ้นถึงจะส่งตัวไปเมืองหลวงเพื่อรับการปูนบำเหน็จตามประกาศ

    โจโฉถูกกักตัวไว้ในห้องพิเศษที่มิใช่ที่คุมขังผู้ต้องหาทั่วไป ตกดึกตันก๋งเข้าพบโจโฉ พลางรำพึงในใจว่า ถ้าจับตัวโจโฉไปให้ตั๋งโต๊ะ ตนก็จะถูกผู้คนประณามทั้งแผ่นดิน ตันก๋งจึงโยนหินถามทางว่า ท่านเซียงก๊กก็ดีต่อท่าน ท่านทำการสิ่งใดที่ทำให้ท่านมหาอุปราชขัดเคืองถึงได้หนีมาทั้งนี้ โจโฉจึงว่า ท่านอุปมาดังนกน้อย ไฉนถึงจะมาล่วงรู้ความคิดพญาปักษา ข้าเป็นข้าราชสำนักฮั่น หากไม่คิดช่วยชาติย่อมไม่ต่างจากเดรัจฉาน ที่ข้ายอมลดตัวลงไปรับใช้ตั๋งโต๊ะก็เพื่อหาโอกาสสังหารมัน ก็เมื่อทำงานพลาดให้มันรู้ตัว ข้าถือว่า เป็นลิขิตสวรรค์ที่จะทำร้ายข้า แล้วโจโฉก็กล่าวประชดว่า ท่านจับตัวเราได้ก็ให้เร่งส่งไปเมืองหลวงรับเอาความชอบเถิด

    ตันก๋ง – คิดถึงส่วยหมื่นครัวเรือนกับเข้าด้วยโจโฉ

    ตังก๋งได้ยินดังนั้นก็รู้ใจ จึงถามโจโฉถึงแผนการใหญ่ จากนี้ไปจะคิดอ่านทำการสิ่งใด โจโฉจึงว่าจะกลับบ้านเกิดที่ตองกุ๋น ประกาศชักชวนขุนศึกทั้งแผ่นดินรวมพลยกไปปราบตั๋วโต๊ะ กอบกู้ราชวงศ์ฮั่น ยามนี้บ้านเมืองแตกแยก ขุนศึกแย่งกันเป็นใหญ่ อ้วนเสี้ยวเป็นเพื่อน คุมทัพใหญ่จะไปร่วมสมทบกับเขา

    โจโฉอ่านเกมการเมืองได้ขาด ยามที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติ ผลัดแผ่นดิน สับเปลี่ยนผู้นำ ขั้วอำนาจมีการโยกย้าย ผู้มีอิทธิพลในสังคมต่างยึดคติพจน์ที่ว่า เมื่อลมเปลี่ยนทิศ ก็ต้องหาทางเบนหัวเรือ โจโฉก็ตกอยู่ในสภาพตกกะไดพลอยโจน ก็ต้องโจนไปให้ไกลที่สุด

    ตันก๋งได้ยินแผนงานใหญ่ของโจโฉก็เกิดความเลื่อมใสเต็มที่ ตรงเข้าถอดเครื่องจำโจโฉออก เชิญโจโฉขึ้นนั่งบนเก้าอี้แล้วว่า เจตนาของท่านมีแต่คนยินดีต้องทำการสำเร็จแน่ ราษฎรทั้งปวงจะอยู่เย็นเป็นสุขด้วยสติปัญญาของท่าน คืนนั้นตันก๋งจึงตัดสินใจสละตำแหน่งนายอำเภอ นอกจากไม่คิดที่จะจับโจโฉไปรับสินบนบำเหน็จ ยังขอร่วมทางร่วมอุดมการณ์กอบกู้ชาติไปกับโจโฉด้วย อีกทั้งไม่สนใจต่อสินบลทองพันชั่งกับส่วยอีกหนึ่งหมื่นครอบครัว นาน ๆ จะได้เห็นขุนนางนักการเมืองที่มีจิตใจรักชาติ รักบ้านเมือง รักฮ่องเต้อย่างแท้จริง โดยไม่มีวาระแอบแฝง มิเห็นแก่ได้อย่างตันก๋ง ตันก๋งกลับไปจัดหาทรัพย์สินที่บ้าน มอบกระบี่เนื้อดีให้โจโฉกับตัวเองคนละเล่ม แล้วทั้งสองจึงมุ่งขี่ม้าออกจากเมืองจงพวนแต่คืนนั้น

    แปะเฉียต้อนรับโจโฉก่อนถูกฆ่าล้างครัว

    เดินทางมาได้สามวัน โจโฉจึงบอกแก่ตันก๋งว่าหมู่บ้านข้างหน้านี้มีบ้านเพื่อนเก่าร่วมสาบานของบิดาชื่อ แปะเฉีย เราน่าจะไปอาศัยพักแรม รวมทั้งฟังข่าวคราวเหตุการณ์ทั้งปวงด้วย แปะเฉียดีใจเห็นโจโฉลูกเพื่อนเก่าจึงบอกว่า บัดนี้เมืองหลวงมีหนังสือให้จับตัวท่าน แลโจโก๋บิดาของท่านได้หนีออกไปอยู่เมืองตันลิวแล้ว โจโฉจึงเล่าเนื้อความแต่หนหลังให้แปะเฉียฟังจนสิ้น แปะเฉียหันมาคำนับขอบใจตันก๋งที่เห็นแก่แผ่นดิน ถ้ามิได้ตันก๋งโจโฉคงต้องตาย แปะเฉียจึงเชื้อเชิญให้โจโฉกับตันก๋งนอนพักที่บ้าน แต่จะขอตัวเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อเหล้าอย่างดีมาเลี้ยง ก่อนไปแปะเฉียสั่งพ่อครัวกับเมียจัดเตรียมอาหารรับรองแขกผู้มาเยือน

    ขณะที่โจโฉเคลิ้มหลับไป พลันได้ยินเสียงคนในเรือนกำลังลับมีด พร้อมกับบอกว่า จะมัดมันก่อนหรือจะฆ่ามันทีเดียว โจโฉจึงกระซิบบอกตันก๋งว่า ชะรอยแปะเฉียเข้าไปในเมืองเพื่อเรียกคนมาจับเอาสินบน เอามันไว้ไม่ได้แล้ว ตันก๋งจึงว่า เรายังไม่แน่ในน้ำใจแปะเฉีย จะประมาณการอย่างนั้นไม่ได้ แต่โจโฉขี้ระแวงชักกระบี่ออกฟันผู้คนกับบุตรภรรยาของแปะเฉียตายถึง 8 คนทั้งบ้าน ตันก๋งเหลือบไปเห็นสุกรที่เขามัดไว้กับหม้อน้ำต้มไฟเดือดจึงรู้ว่าโจโฉเข้าใจผิดฆ่าคนบริสุทธิ์ ถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ โจโฉก็ตกใจกลัวไม่น้อย เมื่อรู้ตัวว่าทำผิดมหันต์ พอได้สติก็บอกตันก๋งว่า เมื่อทำไปแล้ว เสียใจมันก็เท่านั้น รีบไปจากที่นี่กันเถอะ ว่าแล้วทั้งโจโฉกับตันก๋งรีบขึ้นม้าควบออกจากบ้านแปะเฉียไป

    โจโฉฆ่าครอบครัวแปะเฉียด้วยความขี้ระแวง
    โจโฉกับตันก๋งควบม้าไปประมาณยี่สิบเส้นก็พบแปะเฉียแบกเหล้านารีแดงมาด้วย แปะเฉียร้องถามว่า ไม่อยู่กินข้าวจะรีบไปไหน โจโฉตอบว่าข้าพเจ้าเป็นคนผิดที่ทางการต้องการ จะรีบไปให้พ้นภัย แปะเฉียยืนงงอยู่ โจโฉขับม้าไปสักครู่ คิดได้ดึงบังเหียนม้าหันกลับมาเรียกแปะเฉียว่าจะสั่งความเอาไว้ แปะเฉียหยุด โจโฉมาถึงเอากระบี่ฟันแปะเฉียตาย เหล้านารีแดงที่เพิ่งซื้อมาสำหรับเลี้ยงโจโฉกับตันก๋งกลิ้งแตกไหลรินลงพื้น ตันก๋งร้องออกมาด้วยเสียงอันดังอย่างคนตกใจสุดขีด จึงชี้หน้าบอกโจโฉว่า เมื่อกี้นี้ท่านฆ่าบุตรภรรยาผู้คนของแปะเฉียตายทั้งบ้านถือว่าเข้าใจผิด บัดนี้ยังจงใจฆ่าแปะเฉียซ้ำอีก โจโฉตอบว่า เมื่อกี้นี้เราคิดผิดอยู่แล้ว ครั้นจะละแปะเฉียไว้ก็จะต้องโกรธไปบอกนายบ้าน นายบ้านก็จะคุมกำลังมาตามจับเราส่งเมืองหลวง เราจึงซ้ำฆ่าแปะเฉียเสียหวังจะให้เนื้อความสูญไป ตันก๋งจึงว่า ท่านฆ่าคนในบ้านแปะเฉียด้วยความเข้าใจผิด แต่นี่ฆ่าแปะเฉียโดยรู้ว่าเขาไม่ผิด ท่านเป็นคนอกตัญญูหาดีไม่ โจโฉจ้องหน้าตันก๋งบอกว่า เรายอมฆ่าคนทั้งโลก แต่ไม่ยอมให้โลกทรยศ ตันก๋งมองหน้าโจโฉอย่างไม่เชื่อในคำพูด บุคคลที่ตัวเองเคยคิดเลื่อมใสจนเข้าขั้นบูชาเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้สำแดงธาตุแท้ของความโฉดและโหดในตัวออกมาให้เห็นกันอย่างชัดแจ้ง คน ๆ นี้สามารถฆ่าใครก็ได้ที่เขาระแวง คน ๆ นี้สามารถฆ่าเพื่อนสนิทก็ได้ถ้าขัดผลประโยชน์ ตันก๋งจึงกล่าวอำลาว่า ไม่สามารถร่วมทางกับผู้นำที่โหดร้ายทารุณเห็นแก่ตนอย่างท่านได้ ขอให้ท่านทำการใหญ่ตามวิถีทางของท่านเองเถิด ว่าแล้วตันก๋งก็ขับม้าหลีกแยกทางกับโจโฉตั้งแต่คืนวันนั้น

    เหตุการณ์โจโฉสังหารครอบครัวแปะเฉียเพื่อนร่วมสาบานของพ่อ ด้วยความระแวง ด้วยความเข้าใจผิด และด้วยความโฉด ได้กลายเป็นรอยแผลเป็นตลอดชีวิตของโจโฉ ไม่ว่าเขาจะพัฒนาตัวเองจนเป็นใหญ่เป็นโตในแผ่นดินแค่ไหน กรณีสังหารครอบครัวแปะเฉีย ได้ตามติดหลอนตำนานชีวิตของโจโฉให้เป็นรอยด่างพร้อยไปตลอดกาล
    ______________________
    – วิถีของบุคคลนั้นแตกต่างกันไป ในการดิ้นรนยกระดับตัวเอง รวมถึงการป้องกันภัยที่จะมาถึงตน ความผิดพลาดในการตัดสินใจย่อมเกิดขึ้นได้ การยอมรับผิดและไม่ทำผิดอีกจึงน่าจะเรียกศรัทธากลับคืนมาได้ แต่ถ้าทำผิดอีกครั้งแล้วยังไม่ยอมรับผิดแบบโจโฉในครั้งนี้ ศรัทธาในตัวโจโฉที่ตันก๋งมี ก็คงมลายหายไป ..และนี่คือตัวตนของโจโฉที่เผยให้เห็นว่าถ้าเขาถึงทางตันเมื่อใด เขาจะเลือกทางรอดอย่างไร และเป็นอุปนิสัยที่เขาใช้ต่อๆมา และคงจะหายากเต็มทีในสมัยนั้นจนถึงสมัยนี้ ที่จะมีผู้ใดเป็นเหมือนแบบตันก๋งที่จะสละยศตำแหน่งที่ตนเองมี และ ทรัพย์สิน ส่วย บรรณาการที่ตนจะได้ ออกไปกู้ชาติ กับบุคคลที่โดนหมายจับจากทางการผู้มีอุดมการกู้ชาติที่ยังมองไม่เห็นเป็นรูปธรรม

    – เมื่อแรกเริ่มคิดทำการใหญ่”โจโฉ”นั้นก็เดินหมากผิด เสียหมากดีๆตัวนึงไป แต่ด้วยมันสมองของโจโฉเขามองหมากทั้งกระดาน เขาจึงไม่หวั่นแค่หมากตัวนึง เพราะเขาเห็นว่ายังมีเบี้ยและหมากอีกหลายตัวที่เขาจะหามาเดินใหม่ ลองชมหมากแต่ละตัวของโจโฉ และการเฟ้นหาหมากด้วยมันสมองของเขา ที่เน้น”ความฉลาดทั้งบุ๋นและบู้”แต่หาเน้น”คุณธรรม”ไม่

    – เขาเห็น”หมาก”ในขณะที่คนอื่นเห็นเป็นแค่”เบี้ย” เหตุนี้เขาจึงค่อยๆก้าวสู่ ‘วิถีของผู้นำแบบโจโฉ’ ที่มากด้วยความเก่ง,กล้า,สามารถ แต่น้อยด้วยคุณธรรม
    “โจโฉ”จะเป็นผู้รวบรวมหมากทั่วแผ่นดิน ให้มารวมอยู่ในกระดานของเขาได้หรือไม่? โปรดติดตามต่อไป!
    บทที่ 8 สุรามิทันหายอุ่น-ฮัวหยงหัวขาด

    กวนอู-เล่าปี่-เตียวหุย ทหารเสือสามพี่น้อง ในทัพ 18 หัวเมือง

    ตั๋งโต๊ะเข้ามายึดอำนาจในเมืองหลวง ตั้งตัวเป็นใหญ่ปลดฮ่องเต้องค์เดิม สถาปนาฮ่องเต้องค์ใหม่โดยพละการ ในสายตาของชาวฮั่นทั่วไป ถือว่าเป็นการกระทำที่หยาบช้า จาบจ้วงต่อเบื้องสูง อหังการ์ที่มีต่อพระเจ้าแผ่นดินโอรสแห่งสวรรค์ของพวกเขา ความชอบธรรม ในความเป็นใหญ่ของตั๋งโต๊ะ จึงตั้งอยู่บน ความแคลงใจของคนทั้งแผ่นดิน เว้นแต่พวกขาดอุดมการณ์บริสุทธิ์ เห็นแก่ลาภยศ รักชาติแต่ปาก เห็นแก่เศษเงิน

    การขึ้นมาเป็นใหญ่ของตั๋งโต๊ะ จึงมิได้ขึ้นมาโดยอาศัยอัจฉริะภาพบารมีของตนเอง ถ้าเทียบภูมิหลังแล้ว ตั๋งโต๊ะมิได้เป็นผู้นำที่อุดมด้วยภูมิปัญญาความสามารถมากนัก ที่ขึ้นมาเป็นใหญ่ได้ก็ด้วยอาศัยวิชามารติดสินบนขันที รวมทั้งความคิดผิด ๆ ของอ้วนเสี้ยวกับโฮจิ๋นให้ทัพหัวเมืองมาฆ่า 10 ขันที สถานการณ์บ้านเมืองกำลัง ตกอยู่ในสภาพอ่อนแอ ลกเอี๋ยงอยู่ในสภาพที่ขาดผู้นำที่แท้ ขาดกองกำลังที่เข้มแข็งพอที่จะต้านทัพหัวเมืองได้ ที่ทำให้บ้านเมืองวิปริตก็เพราะ คนเก่งมีฝีมืออย่างลิโป้กลับไปเข้ากับคนโฉดเยี่ยงตั๋งโต๊ะ ยิ่งทำให้เหตุการณ์บ้านเมืองเลวร้ายหนักกว่าเดิมอีก

    สามพี่น้องเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย กับกองกำลังส่วนน้อย หลังจากที่เตียวหุยทำร้ายต๊กอิ้วขุนนางชั่วฉ้อราษฎร์บังหลวง ก็หนีเตลิดจากอันห้อก้วนมุ่งหน้าไปอาศัยเล่าเก๊งเจ้าเมืองไต้จิ๋วที่สงสารเพราะเห็นเป็นคนแซ่เดียวกัน อีกทั้งยังเห็นว่าต๊กอิ้วทำไม่ถูก และเล่าปี่เป็นเชื้อพระวงศ์ เล่าเก๊งจึงให้ทั้งสามเปลี่ยนชื่อแซ่แล้วซ่อนไว้ในบ้าน เพื่อหลบเลี่ยงหมายจับที่ทั้งสามทำร้ายขุนนาง

    ต่อมา มีพระบรมราชโองการให้เล่าหงีเจ้าเมืองอิจิ๋วยกทัพไปปราบกบถ เตียวกี เตียวซุ่น ที่ยึดเมืองยีหยง เล่าเก๊งจึงฝากเล่าปี่กับเล่าหงีให้ไปช่วยทำการรบ เพื่อแก้ความผิดที่ตีต๊กอิ้ว เล่าหงีมีความยินดีด้วยเล่าปี่ เพราะเป็นคนแซ่เดียวกัน เล่าปี่ กวนอู เตียวหุยรบชนะพวกขบถ เล่าหงีจึงกราบทูลความชอบของเล่าปี่ให้ทรงทราบ พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็โปรดยกโทษให้เล่าปี่ พอดีกับเพื่อนร่วมโรงเรียนของเล่าปี่ชื่อกองซุนจ้านเป็นขุนนางอยู่ในวัง จึงกราบทูลขอให้ตั้งเล่าปี่ไปเป็นเจ้าเมืองชั้นจัตวาเพงงวนก๋วน พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเห็นชอบด้วย ส่วนกวนอู เตียวหุย ขาดเส้นสายไม่มีใครทูลความดีความชอบ ก็คงเป็นทหารเลวไร้ยศตำแหน่งเช่นเดิม

    ฝ่ายโจโฉหลังจากก่ออาชญากรรมและแยกทางกับตันก๋งแล้ว ก็ลอบไปหาโจโก๋บิดาที่เมืองตันลิวหา ทางขอเงินทุนจากพ่อซื้อม้ากับอาวุธส้องสุมผู้คนเพื่อทำการพลิกแผ่นดิน ได้อุยหองเศรษฐีใจดีที่มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เห็นด้วยกับอุดมการณ์กู้แผ่นดินของโจโฉจึงให้ความช่วยเหลือเต็มกำลัง โจโฉจึงตั้งกองกำลังที่เมืองตันลิว ทันสมัยใช้คำขวัญบนธงขาวว่า ภักดี-ยุติธรรม เกลี้ยกล่อมผู้คน มีประชาชนเข้ามา ร่วมมากขึ้นเป็นลำดับ รวมทั้งพวกแซ่แฮหัว กับแซ่โจที่อยู่เมืองอื่นก็มาร่วมด้วย ในจำนวนนี้มีแฮหัวตุ้น แฮหัวเอี๋ยน สองพี่น้องคุมกำลังพันเศษ กับโจหยินกับโจหองพี่น้องคุมกำลังอีกพันเศษมาร่วมหัวจมท้ายด้วย

    เมื่ออ้วนเสี้ยวเจ้าเมืองปุดไฮเพื่อนเก่าโจโฉสมัยรับราชการกับโฮจิ๋นรู้ข่าว ยกทหารสมทบกับโจโฉ ทั้งสองปรึกษากันแต่งหนังสือไปกล่อมหัวเมืองต่าง ๆ ให้มาร่วมการแผ่นดิน ในจำนวนนั้นมีกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งยกกำลังมาเข้าด้วย โดยชักชวนเล่าปี กวนอู เตียวหุยให้มาร่วมทัพกู้แผ่นดิน อีกทั้งยังมีทัพของซุนเกี๋ยนเจ้าเมืองเตียงสา ม้าเท้งเจ้าเมืองเสเหลียงและอื่น ๆ ทัพ 18 หัวเมืองจึงกลายเป็นทัพใหญ่ขึ้นมา พร้อมใจกันยกให้อ้วนเสี้ยวเป็นแม่ทัพใหญ่ ด้วยเห็นว่ามาจากตระกูลขุนนางหลายชั่วคน

    กวนอูรับอาสาออกรบฮัวหยง เอาศีรษะตัวเองเป็นประกัน

    อ้วนเสี้ยวแม่ทัพใหญ่มีบารมีด้วยบุญเก่า แต่ขาดความเป็นผู้นำ กองทัพ 18 หัวเมือง จึงมีแค่ปริมาณแต่ไร้เอกภาพ เมื่อตั๋งโต๊ะรู้ข่าวโจโฉกับอ้วนเสี้ยวนำทัพ 18 หัวเมืองมาประชิดเมืองหลวง จึงออกปากแต่งตั้งลิโป้เป็นแม่ทัพคุมพลออกต่อต้าน แต่ฮัวหยงแม่ทัพฝีมือดีขันรับอาสาบอกตั๋งโต๊ะว่า เชือดไก่ทำไมจะต้องใช้มีดฆ่าโค ตั๋งโต๊ะจึงให้ฮัวหยงเป็นแม่ทัพคุมพลออกต่อต้าน ฮัวหยงเป็นทหารฝีมือเยี่ยม ฆ่าฟันทหารของอ้วนเสี้ยวตายคนแล้วคนเล่า จนอ้วนเสี้ยวนั่งเป็นทุกข์อยู่ มิรู้จะส่งใครไปรบกับฮัวหยงดี กวนอูเห็นเหตุการณ์โดยตลอดรำคาญเต็มที จึงก้าวออกจากแถวทหารเลวที่อยู่ด้านหลังกองซุนจ้าน พูดด้วยเสียงอันดัง ขออาสาไปตัดศีรษะฮัวหยง อ้วนเสี้ยวหรี่ตาถามว่าเจ้าเป็นใคร กองซุนจ้านที่เป็นแม่ทัพชี้แจงว่า ชื่อกวนอู เป็นน้องของเล่าปี่ อ้วนเสี้ยวจึงถามต่อว่า เจ้ามีตำแหน่งอะไร กองซุนจ้านตอบแทนว่า เป็นพลทหารม้า ถือเกาทัณฑ์

    แค่นี้เอง อ้วนเสี้ยวโกรธจัดตวาดว่า เจ้าเป็นแค่ทหารเลว ไฉนมาดูหมิ่นแม่ทัพนายกองหัวเมืองทั้งปวงเหมือนกับว่าหมดทางหาใครออกไปสู้ศึก จึงสั่งให้ขับกวนอูออกไป โจโฉยกมือขึ้นห้าม บอกอ้วนเสี้ยวว่าท่านอย่าได้โกรธไปเลย ดูท่วงท่าคนผู้นี้จะมีฝีมือดีอยู่ จึงกล้าขันอาสา ถ้ามันไปเอาศีรษะฮัวหยงมาไม่ได้ เราจึงค่อยลงโทษมันอย่างหนักมิดีกว่าหรือ อ้วนเสี้ยวยังไม่ยอมบอกว่า มันเป็นแค่ทหารเลว ฮัวหยงรู้เข้าจะเยาะเย้ยเราได้ว่าสิ้นฝีมือ โจโฉจึงว่า คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่คมสัน ท่วงทีเป็นทหารเอก ฮัวหยงคงไม่รู้ว่าเป็นทหารเลว กวนอูย้ำอาสาอีกครั้ง ถ้าข้าพเจ้าเอาศีรษะฮัวหยงมาไม่ได้ ท่านจงตัดศีรษะข้าพเจ้าแทน

    โจโฉรินเหล้าใส่จอกย้อมใจกวนอู

    โจโฉผู้มีสมองกับการอ่านคนฉับไวเหนือกว่าอ้วนเสี้ยว รำพึงในใจว่า คนผู้นี้มิเพียงแต่อาจหาญอย่างเดียว ยังมีความห้าวหาญแฝงอยู่ในบุคลิกภาพเต็มเปี่ยม โจโฉจึงสั่งให้ทหารอุ่นสุรารินใส่จอก ยื่นให้กวนอูดื่มเป็นกำลังใจก่อนออกรบ กวนอูคำนับแล้วบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นแค่ทหารเลว มิบังอาจรับเกียรติยศนี้ ของดไว้ก่อน เมื่อข้าพเจ้าได้ศีรษะฮัวหยงมาแล้ว ข้าพเจ้าจึงจะขอรับเกียรตินี้จากท่าน

    ว่าแล้วกวนอูขี่ม้าถือง้าวออกรบ เสียงกลองศึกและม้าล่อดังอึงคะนึงขึ้นชั่วอึดใจ แม่ทัพนายกองหัวเมืองต่าง ๆ พลันเห็นกวนอูหิ้วศีรษะฮัวหยงเข้ามาทิ้งไว้หน้าค่าย โจโฉยินดียิ่งนัก ยื่นจอกสุราให้แก่กวนอูเป็นเกียรติยศ กวนอูคำนับแล้วรับจอกสุรามาดื่ม ปรากฏว่า สุราจอกนั้นยังโชยควันอุ่นอยู่

    เตียวหุยคนเลือดร้อน จึงตะโกนขึ้นมาว่า กวนอูพี่ข้าตัดศีรษะฮัวหยงมาได้ ข้าผู้น้องขออาสาเข้าตีเมืองหลวง จับตัวตั๋งโต๊ะมาให้ท่าน ณ บัดนี้ อ้วนเสี้ยวได้ฟังดังนั้นก็โกรธจัดตวาดว่า มึงเป็นแค่ทหารเลว บังอาจอาสาหักหน้าผู้ใหญ่เช่นนี้หยาบคายนัก มึงจงออกไปอยู่ข้างนอกอย่าช้า

    โจโฉจึงว่า อันการศึกสงคราม เราไม่ควรจะมัวถือยศถือศักดิ์ ใครทำดีเราก็ควรสนับสนุนส่งเสริมจึงจะชอบ อ้วนเสี้ยวขัดใจนักตอกกลับโจโฉว่า ถ้าท่านเอาแต่ยกทหารเลวขึ้นมาตีเสมอทหารเอก ข้าพเจ้าย่อมไม่อาจบัญชาการรบได้ จำต้องขอยกทัพกลับ โจโฉจึงปลอบว่า อย่าให้เรื่องเล็กแค่นี้ ทำให้เราต้องละทิ้งการใหญ่ ว่าแล้วโจโฉจึงให้กองซุนจ้านพาเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยกลับไปค่าย แต่ก็ได้แอบแต่งหมูเป็ดไก่ลอบส่งไปกำนัลแก่สามพี่น้องเป็นการผูกใจไว้ตามประสาหัวหน้าที่ดี

    เพชรตกไปอยู่สถานที่ใด ก็ยังคงความเป็นเพชรอยู่วันยังค่ำ เพียงแต่ว่าจะแสดงตัวดุจเดียวกับกวนอูหรือไม่เท่านั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นความแตกต่างในความเป็นผู้นำของโจโฉกับอ้วนเสี้ยวอย่างเห็นได้ชัด การอ่านคนเป็น อ่านใจคนเก่ง ไม่ถือยศถืออย่าง ยอมรับยกย่องคนดีคนเก่งมีความสามารถ จึงเป็นคุณสมบัติของโจโฉที่มีเหนือกว่าอ้วนเสี้ยวทุกประการ

    “แย่งจับปลาในน้ำขุ่นจนทัพแตก”



เวอไนน์ไอคอร์ส

ประหยัดเวลากว่า 100 เท่า!






เวอไนน์เว็บไซต์⚡️
สร้างเว็บไซต์ ดูแลเว็บไซต์

Categories


Uncategorized