• June 8, 2012

    ณ จุดเริ่มต้นของกาลเวลา จักรวาลยังคงว่างเปล่าปราศจากสรรพสิ่ง จนกระทั่งเวลาผ่านไปเนิ่นนาน การระเบิดครั้งใหญ่ที่เรียกว่า Big Bang ได้เกิดขึ้น ถือเป็นจุดกำเนิดของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล

    เมื่อเวลาล่วงเลยไป Big Will สัญลักษณ์แห่งจิตจักรวาลได้ก่อปาฎิหาริย์ขึ้นบนโลก โดยแผ่พลังงานที่เรียกว่าคอสโม่ (Cosmo) อันเป็นพลังแห่งจักรวาลซึ่งส่งผลให้เกิดจิตวิญญาณขึ้นในทุกสรรพสิ่งที่มัน สัมผัส พลังงานแห่งจักรวาลอันได้มาจากดวงดาวในห้วงอวกาศนั้นเป็นคำอธิบายได้ว่า เหตุใดชะตามนุษย์จึงสัมพันธ์กับดวงดาวอย่างแนบแน่น จิตวิญญาณที่สามารถสื่อสารกับ Big Will ได้นั้น เรียกกันว่า “เทพเจ้า” อาจกล่าวได้ว่าแม้แต่มนุษย์เองหากรู้จักที่จะสื่อสารกับ Big Will เพื่อดึงพลังคอสโมจากห้วงจักรวาลได้ มนุษย์นั้นก็จัดอยู่ในระดับใกล้เคียงเทพเจ้าเลยทีเดียว

    ยุคสมัยของปวงเทพ

    อาจกล่าวได้ว่าบรรพบุรุษแห่งเทพเจ้าเป็นวงศ์วานเดียวกับ มนุษย์ มีเทพเพียงสามองค์เท่านั้นที่ถือว่าเป็นเทพอรูปหรือเป็นจิตวิญญาณแห่ง จักรวาลที่แท้ เทพทั้งสามองค์นั้นได้แก่

    – มหามารดาไกอา (Gaia)
    – บิดรแห่งท้องนภายูเรนอส (Uranos)
    – และวิญญาณแห่งห้วงสมุทรพอนธอส (Ponthos)

    มนุษย์สามคนแรกที่สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณแห่ง Big Will ได้แก่ ซุส (Zeus) โพไซดอน (Poseidon) และเฮดีส (Hades) ทั้งสามคนได้รับการสักการะให้เป็นต้นตระกูลแห่งเทพ ปกครองโลกมนุษย์ โลกใต้สมุทร และโลกแห่งความตายตามลำดับ เทพทั้งสามกลายเป็นเทพเหนือเทพ เพราะมีพลังแห่ง Big Will หรือที่มนุษย์เรียกกันว่าสัมผัสที่ 9 (ninth sense) ซึ่งเทพปกติจะมีสัมผัสถึงระดับที่แปดเท่านั้น eighth sense มีคำเรียกว่า “อารายาชิกิ” ส่วนมนุษย์ที่สามารถผนึกพลังคอสโมได้ถึงขั้นนั้นจะมีสัมผัสอยู่ที่ระดับสัมผัสที่เจ็ด (seventh sense) แต่ก็มีบ้างที่มนุษย์บางคนสามารถเรียนรู้สัมผัสที่แปด หรืออารายาชิกิที่สามารถทำให้พวกเขาก้าวสู่โลกแห่งความตายได้ทั้งที่ยังมีชีวิต

    ด้วยพลังของ Big Will ทำให้จิตวิญญาณของปวงเทพคงความอมตะ แต่ร่างกายยังคงเสื่อมถอยตามวัฏจักรของธรรมชาติ ดังนั้นปวงเทพจึงต้องใช้วิธีกลับชาติ (reincarnate) มาเกิดเป็นยุค ๆ (เช่น อาธีนาที่กลับชาติมาเกิดทุก 250 ปี) เติบโตในร่างมนุษย์ และอาศัยการผนึกจิตเพื่อให้เข้าถึง Big Will อีกครั้ง เทพบางองค์ที่กลับชาติมาเกิดจะเข้าถึงความทรงจำเมื่อครั้งเป็นเทพได้ก็ต่อเมื่อเวลาอันควรมาถึง

    คิโด ซาโอริ รู้ว่าตนเองคืออาธีน่าเมื่อเติบโตเป็นวัยรุ่น จูเลียน โซโล มหาเศรษฐีผู้กุมเส้นเลือดของเศรษฐกิจแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทราบจากคำบอกเล่าของ เมอร์เมด เทติส ว่าตนคือโพไซดอน ราชันย์แห่งนครแอตแลนติส แต่จิตแห่งโพไซดอนที่แท้จริงกลับมาตื่นเอาเมื่อต้องปะทะกับเหล่าบรอนซ์เซนต์ที่หน้าเมนเบรดไวน์เนอร์

    มนุษย์อีกผู้หนึ่งที่ควรกล่าวถึงคือชากะ (ซึ่งจริง ๆ แล้วควรอ่านว่าสักกะ) เขาสืบเชื้อสายจากราชวงศ์ศากยะอันเป็นราชวงศ์เดียวกับพระศากยมุนี หรือองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชากะเป็นเซนต์คนแรกที่เข้าถึงสัมผัสที่ 8 – อารายาชิกิ เป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับสงครามศักดิ์สิทธิ์ดีที่สุดในหมู่เซนต์ ดวงตาที่ปิดสนิทคล้ายเนตรแห่งองค์ศิวะ และนี่เองคือเหตุผลว่าทำผู้คนจึงขนานนามของชากะว่าเป็น“มนุษย์ที่ใกล้เคียงเทพเจ้าที่สุด”

    เทพเจ้าปกครองโลกมาแสนนาน จนในที่สุดเห็นว่ามนุษย์พร้อมจะวิวัฒน์สั่งสมอารยธรรมได้ด้วยตนเองแล้ว ซุสจึงหวนสู่อาณาจักรแห่งโอลิมปัส (Olympus) พร้อมเหล่าเทพนิกรของตน ทิ้งภาระการดูแลโลกให้กับบุตรีนามอาธีน่า (Athena) ซึ่งกลับชาติมาเกิดอยู่เป็นวาระ ๆ

    (สงครามศักดิ์สิทธิ์)

    The Holy Wars เป็นการต่อสู้ระหว่างปวงเทพและมนุษย์ใต้สังกัดของตน เทพองค์แรกผู้ก่อสงครามได้แก่โพไซดอนผู้ตัดสินใจจะรวบโลกมนุษย์เข้าใต้อาณัติการปกครองของแอตแลนติส โพไซดอนมีกองทัพอันเกรียงไกรที่ประกอบด้วยนักรบที่เรียกว่ามารีนเนอร์เป็นจำนวนมาก มารีนเนอร์เหล่านี้กระจายกำลังอยู่ทั่วเจ็ดคาบสมุทรโดยมีแม่ทัพ (General) ทั้งเจ็ดคอยบัญชาการอีกต่อหนึ่ง โพไซดอนประทานเกราะที่เรียกว่าสเกล (Scales) ให้แก่เจเนรัลทั้งเจ็ด โดยเกราะเหล่านี้นอกจากจะสถิตย์ไปด้วยจิตวิญญาณแห่งห้วงสมุทร เช่น คราเก้น (Kraken) หรือไซเรน (Siren) แล้ว ยังเป็นเกราะที่ถูกสร้างจากโลหะ Orichalcum ซึ่งตามตำนานเซเลเนียนกล่าวว่าเป็นโลหะที่อยู่ในอุกกาบาตยักษ์จากดาวเสาร์ ซึ่งเคยพุ่งชนนครแอตแลนติสเมื่อนานมาแล้ว

    http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcSOCtAdjn9_ejXZfcjqIKORUv6KtbjulJ6u7BxbzSEOTMy-KsumIKA51R_WuQ

    สงครามเริ่มต้นขึ้นเมื่ออาธีน่าปฏิเสธที่จะยกโลกให้กับโพไซดอน นักรบของเทวีแห่งสงครามกลับพ่ายแพ้เหล่ามารีนเนอร์อย่างง่ายดาย เนื่องจากพลานุภาพของสเกลที่มารีนเนอร์สวมใส่ พวกเขาตายไปทีละคนละคนเหลือเพียงเด็กหนุ่มคนเดียวที่รอดชีวิตจากสงครามมาได้ อาธีนาไม่ต้องการให้นักรบผู้จงรักล้มตายไปมากกว่านี้จึงตัดสินใจมอบเกราะ แห่งเทพให้ โดยเรียกตัวนักปราชญ์จากเลมูเรีย (ทวีปมู) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางของมหาสมุทรแปซิฟิกมาเข้าเฝ้านางที่แซงทัวรี่ นักปราชญ์ชาวมูเสนอให้นางสร้างชุดเกราะที่เรียกว่าคล็อธ (Cloth) ให้กับนักรบแห่งแซงทัวรี่ โดยผู้มีคุณสมบัติสวมชุดเหล่านี้จะถูกขนานนามว่าเซนต์ (Saint)
    อาธีนาผู้ถือเป็นเทวีแห่งปัญญาได้ออกแบบชุดคลอธด้วยตัวของนางเอง โดยอาศัยแรงบันดาลใจจากกลุ่มดาวบนท้องฟ้าทั้ง 88 กลุ่ม ชุดคล็อธแต่ละชุดได้รับพลังจากดาวหลักในแต่ละกลุ่มดาว โดยชุดที่แข็งแกร่งที่สุดถูกออกแบบขึ้นตามกลุ่มดาวทั้ง 12 ราศีนั้นเรียกว่าโกลด์คล็อธ
    http://www.oocities.org/tarouct/images/seiya2.jpg
    เซนต์ผู้สวมโกลด์คลอธจะต้องมีราศีเกิดสอดคล้องกับชุดที่สวมอยู่
    (ซึ่งภายหลังอีกหลายพันปีเด็กหนุ่มชื่อเซย่าได้รับคล็อธนี้ไป หนึ่งเพราะจิตใจที่มุ่งมั่นจะปกป้องอาธีนา สองเขาเกิดราศีเดียวกับเจ้าของคล็อธคนเดิมที่ชื่อไอโอลอส นั่นคือราศีธนู)

    เพื่อให้คล็อธมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าสเกล คล็อธแต่ละชุดถูกตีขึ้นจากโลหะ Orichalcum นอกจากนั้นยังผสานเข้ากับ Alloy ประเภท Gammanium อันได้จากละอองดาวที่อาบไปด้วย Big Will และคอสโม เป็นผลให้ชุดคลอธมีจิตวิญญาณของมันเอง นักปราชญ์ชาวมูทำหน้าที่สร้างชุดเกราะให้เหล่าเซนต์มาตลอดห้วงสงคราม ศักดิ์สิทธิ์ จนกระทั่งอาณาจักรมูล่มสลายไป เพราะการโจมตีของสเป็คเตอร์กับเทพราชวงศ์ไตตัน (ผู้เกิดจาก Big Bang) ความย่อยยับของชาวมูมีเฮดิสเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง นักปราชญ์ชาวมูมีผู้สืบทอดคนสุดท้ายอยู่ในตำแหน่งของโกลด์เซนต์แห่งราศีเมษ และครองตำแหน่ง Saint of Aries ตลอดมา

    อาธีนากลับชาติมาเกิดอีกครั้งก่อนเริ่มสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่สอง ผู้นำที่ทำหน้าที่คัดสรรเด็กหนุ่มที่จะเป็นเซนต์ให้กับอาธีนาถูกเรียกว่า Pope (ภาษาญี่ปุ่นใช้คำว่าเคียวโก) หรือ Monk-Emperor ที่นอกจากจะทำหน้าที่รับบัญชาของอาธีนามาถ่ายทอดต่อเหล่าเซนต์แล้ว ยังทำหน้าที่ปกครองแซงทัวรีในช่วงที่อาธีนายังไม่จุติลงมาอีกด้วย

    ในที่สุดเหล่าเซนต์ก็ชนะสงคราม พวกเขาขับไล่มารีนเนอร์กลับลงสู่ห้วงสมุทร โพไซดอนสดับข่าวความปราชัยอย่างไม่สบอารมณ์ เจ้าสมุทรผู้นี้ได้เรียกมารีนเนอร์ที่เหลืออยู่มารวมพลในวิหารที่แอตแลนติส เพื่อเตรียมตัวโต้กลับ แต่อาธีน่าและเซนต์อีกแปดคนกลับทะลวงเข้าถึงใจกลางวิหาร โค่นมารีนเนอร์ที่เหลือ และทลายวิหารใต้สมุทรเสียราบคาบ เทวีองค์นี้ทำการผนึกวิญญาณของโพไซดอนไว้ที่ขั้วโลกเหนือ โดยมีเซ็นต์จำนวนหนึ่งเฝ้าผนึกเอาไว้ ส่วนมารีนเนอร์ที่แตกพ่ายจำนวนหนึ่งได้รวบรวมกำลังที่เหลืออยู่ ทำการสร้างวิหารขึ้นแถบแหลมซูนิออนในกรีซ ที่ตั้งของวิหารอยู่ใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน มีหอคอยชื่อ Main Breadwinner เป็นเสาหลัก

    (ตำนานแห่งดาวตก)
    ผ่านไปเจ็ดยุค อาธีนาสร้างวิหาร 12 แห่งขึ้นบริเวณกรุงเอเธนส์รายล้อมวิหารหลักเอาไว้ บริเวณนี้ถูกขนานนามจากมนุษย์ว่านครศักดิ์สิทธิ์หรือแซงค์ทัวรี่ (Sanctuary) ซึ่งรุ่งเรืองอยู่ชั่วกาลหนึ่ง จนกระทั่งเกิดสงครามระหว่างอาธีนากับพวกยักษ์ (Giant) สงครามระหว่างแซงจูรี่กับ Giants ถูกบันทึกไว้ในนามของ Gigantomachy พวกยักษ์ถูกเซนต์พิชิตลงอย่างราบคาบ อาธีนาได้ต่อสู้กับผู้นำของพวกยักษ์ที่ชื่อแอนเซลาดัส (Encelade) และขังมันเอาไว้ใต้เกาะซิซิลี บางตำนานกล่าวว่าแอนเซลาดัส ยังคงพวยพุ่งลมหายใจอันร้อนแรงของมันออกมาทางปล่องภูเขาไฟเอตนามาจนถึงทุกวันนี้ (ทว่าบันทึกบางเล่มกลับกล่าวว่า ผู้ที่อยู่ใต้ปล่องเอทนาไม่ใช่แอนเซลาดัส แต่เป็นอสูรร้ายไทฟอน (Typhoon) ที่ถูกพิชิตโดยมหาเทพเซอุสเมื่อครั้งบรรพกาลต่างหาก)

    เมื่อสงครามสงบลง อาธีนากับเหล่าเซนต์ถูกคุกคามโดยเทพอาเรส (Ares) ที่มีเฮดิส (Hades) เจ้าแห่งโลกล่างหนุนหลังอยู่ การต่อสู้เป็นไปอย่างยากลำบากเพราะอาเรส ไม่เพียงแข็งแกร่งกว่าอาธีนาเท่านั้น แต่ยังมีกองทัพของ Berserker สี่เหล่าเป็นกองหนุนอีกด้วย อาธีนาคิดยุทธวิธีใหม่เพื่อปราบ Berserker โดยให้เหล่าเซนต์ตั้งพยุหะศาสตราที่มาจากคลอธของเซนต์ไลบร้า (Libra) และท้ายที่สุดก็สามารถขับไล่อาเรส ให้หนีไปที่ขุมนรกได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ยังความไม่พอใจแก่เฮดิส เป็นอย่างมาก และถือเป็นชนวนสงครามระหว่างโลกบนกับโลกล่าง ในครั้งนั้นการต่อสู้ระหว่างอาธีนากับเฮดิสไม่ปรากฏผลอย่างเด็ดขาด แต่ตามบันทึกกล่าวว่าเฮดิสได้รับบาดเจ็บเพราะเซนต์คนหนึ่งซึ่งกลับชาติมา เกิดเป็น Saint Pegasus ในปัจจุบัน

    สันติสุขดำเนินไปอีกหลายศตวรรษ จนกระทั่งเกาะเล็ก ๆ ชื่อเดธควีนได้ถูกค้นพบ เกาะนี้เคยเป็นแนวเขาของทวีปมูมาก่อน ทำเลที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิกและมีสภาพภูมิอากาศที่ทารุณมาก เกราะดำหรือ Black Cloths ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ มันถูกสร้างโดยนักปราชญ์ชาวมูกลุ่มหนึ่ง เป็นชุดที่แข็งแกร่งหากแต่เทียบไม่ได้กับชุดคลอธที่สร้างขึ้นโดยทีมนัก ปราชญ์ของอาธีนา เกาะนี้จึงเป็นสวรรค์ของนักรบที่ไม่สามารถผ่านการทดสอบเพื่อเป็นเซนต์ พวกเขาพากันมารับชุดแบล็คคลอธเพื่อเป็นเกราะประจำตัว อาธีนามองนักรบเหล่านี้อย่างไม่วางใจและในที่สุดนางจึงส่งเซนต์จำนวนหนึ่งมา ประจำที่เกาะนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้นักรบสอบตกก่อความไม่สงบขึ้น

    ต่อมาเกาะนี้กลายเป็นที่กักขังนักโทษที่เป็นเซนต์ผู้มีความผิดติดตัว นักโทษจำนวนมากถูกส่งมาจองจำที่เกาะนี้ จนกลายเป็นแหล่งสุมหัวของเซ็นต์หัวรุนแรงเป็นจำนวนมาก กิลตี้ (Guilty) พ่อของเอสเมรัลดาและอาจารย์ของอิคคิก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น นักโทษเหล่านั้นถูกสวมหน้ากากเพื่อเป็นการตีตราความผิดที่ตนได้กระทำขึ้น ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ออกจากเกาะ จนกว่าจะทำลายหน้ากากหรือฆ่าเจ้าของหน้ากากคนก่อนลง

    นักปราชญ์ทรยศแห่งเดธควีนไม่มีความรู้พอที่จะสร้างคล็อธสมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ จึงได้แต่สร้างคล็อธเลียนแบบบรอนซ์คล็อธขึ้นมาเท่านั้น พวกเขาทำการสร้างคล็อธวิหคเพลิงฟินิกซ์ขึ้นมาหลายครั้ง จนมันกลายเป็นคล็อธที่สามารถคืนชีพตนเองได้ และเป็นหนึ่งในชุดคลอธที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย เด็กหนุ่มชื่ออิคคิเป็นคนแรกที่ได้รับชุดฟินิกซ์ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีมนุษย์คนใดสามารถผสานคอสโมของตนให้เข้ากับพลังแห่ง ฟินิกซ์ได้เลย
    ตัวละครหลัก

     

    อาเธน่า คิโดะ ซาโอริ
    เพกาซัส เซย์ย่า
    ดราก้อน ชิริว
    ซิกนัส เฮียวกะ
    อันโดรเมด้า ชุน
    ฟีนิกส์ อิคคิ

    โกลด์เซนต์ ทั้ง 12 ราศี

    แอเรียส มู
    ทอรัส อัลเดบารัน
    เจมินี่ ซากะ
    แคนเซอร์ เดธมาสค์
    เลโอ ไอโอเลีย
    เวอร์โก้ ชากะ
    ไลบร้า โดโก
    สกอร์เปี้ยน มิโร่
    ซาจิททาเรียส ไอโอรอส
    แคปริคอร์น ชูร่า
    อควอเรียส คามิว
    พิซเซส อโฟรดิเท

    http://images.forum-auto.com/mesimages/443825/les-chevaliers-du-zodiaque.jpg

     



เวอไนน์ไอคอร์ส

ประหยัดเวลากว่า 100 เท่า!






เวอไนน์เว็บไซต์⚡️
สร้างเว็บไซต์ ดูแลเว็บไซต์

Categories


Uncategorized