คนที่มีตราสารหนี้อยู่แล้ว ไม่ประสงค์ที่จะเอาไปขายเพื่อเอาเงินสดมา แต่เอาตราสารหนี้ไปค้ำเพื่อเอาเงินกลับมา กับเอาบ้านที่ปลอดหนี้ไปค้ำอันไหนดีกว่า?
นี่เป็นประเด็นที่น่าสนใจมากค่ะ และทำให้บริบททางการเงินเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หากมองในมุมที่ว่า คนมีตราสารหนี้แต่เลือกที่จะ “ค้ำประกัน” แทน “ขาย” สาเหตุที่ทำเช่นนั้นมักเกี่ยวข้องกับวัตถุประสงค์ทางการเงิน 3 ข้อหลัก ดังนี้
- รักษาผลประโยชน์การลงทุน (Investment Preservation)
เมื่อนักลงทุนเลือกที่จะนำตราสารหนี้ไปเป็นหลักประกันเพื่อกู้เงิน (เรียกว่า Securities-Backed Loan หรือ Margin Loan สำหรับบางประเภท) แทนการขาย มีสาเหตุหลักคือ:
- รักษาผลตอบแทน: ตราสารหนี้ยังคงเป็นทรัพย์สินของนักลงทุน และยังคงได้รับดอกเบี้ย (Coupon) หรือผลตอบแทนตามที่ตกลงกันตลอดอายุสัญญา
- หลีกเลี่ยงต้นทุนและภาษี: การขายตราสารหนี้อาจทำให้เสียโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาค หรืออาจต้องเสียค่าธรรมเนียม หรือ ภาษีกำไรจากการลงทุน (Capital Gains Tax) หากมีการขายทำกำไร การกู้เงินโดยมีตราสารหนี้ค้ำประกันจะไม่ถือเป็นการขาย ทำให้ไม่ต้องเสียภาษี ณ ตอนนั้น
- เชื่อมั่นในอนาคต: นักลงทุนอาจเชื่อว่าราคาของตราสารหนี้กำลังจะสูงขึ้นในอนาคต หรืออัตราดอกเบี้ยที่ได้รับคุ้มค่ากว่าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ จึงต้องการถือไว้ต่อไป
- ความแตกต่างด้านสภาพคล่องเชิงกลยุทธ์ (Strategic Liquidity)
การกู้เงินโดยมีตราสารหนี้ค้ำประกัน เป็นการเพิ่มสภาพคล่องในทันที โดยมีเงื่อนไขต่างจากการขายตรง:
- เงินด่วนเพื่อโอกาส: หากมีโอกาสทางธุรกิจที่ต้องใช้เงินก้อนฉุกเฉินหรือรวดเร็ว การกู้เงินค้ำประกันมักจะอนุมัติได้รวดเร็วกว่าการขอสินเชื่อแบบปกติ และรวดเร็วกว่าการรอให้ตราสารหนี้ครบกำหนดไถ่ถอน
- ต้นทุนต่ำกว่า: ดอกเบี้ยสำหรับการกู้โดยมีหลักทรัพย์คุณภาพดีอย่างตราสารหนี้ค้ำประกัน มักจะมีอัตราที่ต่ำกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลหรือบัตรเครดิตมาก
- เปรียบเทียบกับบ้านค้ำประกัน
แม้จะเปลี่ยนจากการ “ขาย” เป็นการ “ค้ำ” แต่การเอาตราสารหนี้ค้ำประกัน ก็ยังคงแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับการเอาบ้านไปค้ำ:
| ประเด็นเปรียบเทียบ | ตราสารหนี้ค้ำประกัน | บ้านค้ำประกัน |
|—|—|—|
| ความเสี่ยงของหลักประกัน | ราคาตลาดเปลี่ยนไปตามดอกเบี้ย/เครดิต หากราคาตกลงต่ำกว่าเกณฑ์ อาจถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) | เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่มีความมั่นคงด้านราคามากกว่า แต่ถ้าผิดนัดชำระอาจถูกยึดทรัพย์จำนอง |
| สภาพคล่อง/ความง่าย | ทำธุรกรรมได้ง่ายและรวดเร็วในตลาดทุน | ใช้เวลานานกว่าในการประเมินราคาและจดจำนอง |
| การสร้างหนี้ | เป็นหนี้เช่นกัน แต่เป็นหนี้ที่ได้มาโดยมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องดีรองรับ และสามารถชำระคืนได้ง่ายกว่าโดยการขายตราสารหนี้บางส่วน | เป็นหนี้ที่แลกมากับสินทรัพย์สภาพคล่องต่ำ ซึ่งมีความหมายว่าบุคคลนั้นอาจมีปัญหาสภาพคล่องที่รุนแรงกว่า |
สรุป: การที่คนมีตราสารหนี้เลือกที่จะค้ำประกันแทนการขาย ไม่ได้แปลว่าบุคคลนั้นขาดสภาพคล่องแบบวิกฤต แต่เป็นการเลือกใช้ตราสารหนี้เป็นเครื่องมือทางการเงินเพื่อเพิ่มสภาพคล่องเชิงกลยุทธ์ ในขณะที่ยังคงรักษาสถานะความเป็นเจ้าของสินทรัพย์และผลตอบแทนจากการลงทุนไว้ ซึ่งเป็น “บริบท” ที่แตกต่างจากคนที่เอาบ้านไปค้ำเพื่อกู้เงินมาชดเชยการขาดสภาพคล่องพื้นฐานอย่างสิ้นเชิงค่ะ
แล้วถ้าในบริบทคือคนที่จะกู้เงินนี้ คือคนที่มีทั้งบ้านและมีทั้งพันธบัตรล่ะ
การตัดสินใจเลือกใช้ พันธบัตรค้ำประกัน หรือ บ้านค้ำประกัน จะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 3 ประการคือ วัตถุประสงค์ในการใช้เงิน, ต้นทุนดอกเบี้ย/ค่าธรรมเนียม, และความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ถึงแม้บุคคลนั้นจะมีความมั่งคั่ง (มีทั้งบ้านและพันธบัตร) การเลือกใช้หลักประกันแต่ละประเภทก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันมากในเชิงกลยุทธ์การเงิน ดังนี้ค่ะ:
- พันธบัตร/ตราสารหนี้ค้ำประกัน (Securities-Backed Loan)
ข้อดี (Advantages) ข้อเสีย/ความเสี่ยง (Disadvantages/Risks)
รวดเร็วและสะดวก: การอนุมัติเงินกู้รวดเร็วมาก เพราะหลักทรัพย์ (พันธบัตร) เป็นของธนาคาร/โบรกเกอร์อยู่แล้ว และมีมูลค่าประเมินชัดเจน วงเงินกู้ต่ำกว่า: โดยทั่วไปจะได้วงเงินกู้ประมาณ 50-70% ของมูลค่าหลักประกัน (เพื่อลดความเสี่ยงจากการผันผวนของราคา)
ดอกเบี้ยต่ำเชิงกลยุทธ์: อาจได้ดอกเบี้ยต่ำกว่าสินเชื่อส่วนบุคคล แต่สูงกว่าการจำนองบ้านเล็กน้อย ความเสี่ยง Margin Call: หากมูลค่าตลาดของพันธบัตรลดลงอย่างรวดเร็ว (เช่น อัตราดอกเบี้ยในตลาดสูงขึ้น) ธนาคารอาจเรียกให้ผู้กู้เติมเงินสดหรือหลักประกันเพิ่มทันที
รักษาการลงทุน: ผู้กู้ยังคงได้รับดอกเบี้ยจากพันธบัตรตามปกติ (เป็นการใช้เงินทุนโดยมีต้นทุนสุทธิที่ต่ำลง) ระยะเวลาสั้น: มักเป็นสินเชื่อระยะสั้นหรือกลาง ไม่เหมาะกับการผ่อนนาน 10-30 ปี
ไม่มีค่าใช้จ่ายจดจำนอง: ไม่มีค่าธรรมเนียมในการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ หรือค่าจดจำนอง 1% พันธบัตรมีจำกัด: หากเป็นพันธบัตรรัฐบาลอาจมีสภาพคล่องสูง แต่ถ้าเป็นหุ้นกู้เอกชนบางตัว อาจถูกจำกัดการยอมรับเป็นหลักประกัน บ้าน/อสังหาริมทรัพย์ค้ำประกัน (Home Equity Loan / Mortgage)
ข้อดี (Advantages) ข้อเสีย/ความเสี่ยง (Disadvantages/Risks)
— —
วงเงินกู้สูง: สามารถให้วงเงินกู้ได้สูงถึง 70-90% ของราคาประเมิน (สูงกว่าพันธบัตร) ใช้เวลานานและมีต้นทุน: มีค่าใช้จ่ายในการประเมินราคาและค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินกู้ และกระบวนการอนุมัติใช้เวลานานกว่ามาก
ดอกเบี้ยต่ำที่สุด: มักมีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดในบรรดาผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่มีหลักประกัน เนื่องจากบ้านมีความผันผวนของราคาน้อยกว่าหลักทรัพย์อื่น ๆ ความเสี่ยงต่อที่อยู่อาศัย: หากผิดนัดชำระหนี้ ความเสี่ยงสูงสุดคือการถูกยึดที่อยู่อาศัยหลักไปขายทอดตลาด
ระยะเวลาผ่อนยาว: เหมาะสำหรับการกู้ระยะยาว เช่น 10-30 ปี ทำให้ภาระผ่อนต่อเดือนต่ำ ทรัพย์สินถูกจำกัด: บ้านที่นำมาค้ำประกันจะติดภาระจำนอง ทำให้ไม่สามารถซื้อ-ขาย หรือนำไปใช้ค้ำประกันอื่นได้จนกว่าจะไถ่ถอน
สรุปการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์สำหรับคนมี “ทั้งสองอย่าง”
คนที่มีทางเลือกทั้งสอง จะตัดสินใจจาก “ความต้องการใช้เงิน” เป็นหลัก:- ถ้าต้องการเงินก้อนเล็ก/เงินด่วน/ใช้ระยะสั้น (1-5 ปี):
- \rightarrow ควรเลือก พันธบัตรค้ำประกัน เพราะรวดเร็ว ไม่เสียค่าธรรมเนียมจดจำนอง และยังได้ดอกเบี้ยพันธบัตรอยู่ (ต้นทุนสุทธิต่ำ)
- ถ้าต้องการเงินก้อนใหญ่/ใช้ระยะยาว (10-30 ปี):
- \rightarrow ควรเลือก บ้านค้ำประกัน เพราะได้วงเงินสูงสุด และอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุดสำหรับการผ่อนชำระที่ยาวนาน
ในที่สุดแล้ว แม้แต่คนที่มีทางเลือกเยอะ การนำบ้านไปค้ำประกัน ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่บ่งบอกถึงการตัดสินใจทางการเงินที่ “หนักกว่า” การใช้พันธบัตรค้ำประกัน เพราะมีภาระผูกพันระยะยาวและมีความเสี่ยงต่อที่อยู่อาศัยโดยตรง ต่างจากการใช้สินทรัพย์ทางการเงินที่มีสภาพคล่องสูงอย่างพันธบัตรค่ะ
ไม่ว่าจะเป็นการใช้ พันธบัตรค้ำประกัน หรือ บ้านค้ำประกัน นั้น ไม่มีทางเลือกใด “ดีที่สุด” ในทุกสถานการณ์ แต่ควรเป็นทางเลือกที่ “เหมาะสมที่สุด” กับความต้องการและสถานการณ์ของบุคคลนั้น ๆ ค่ะ
หากคนคนนั้นมีความมั่งคั่งและมีทางเลือกทั้งสองอย่าง (มีทั้งบ้านปลอดหนี้และพันธบัตร) การตัดสินใจจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาคำถามสำคัญ 3 ข้อ ดังนี้:
- วัตถุประสงค์ในการใช้เงิน (The Goal)
วัตถุประสงค์ ควรเลือกหลักประกันประเภทใด เหตุผล
ระยะยาว/เงินก้อนใหญ่ (เช่น ลงทุนธุรกิจใหญ่, สร้าง/ซ่อมแซมบ้าน) บ้านค้ำประกัน (Home Equity/Mortgage) ให้วงเงินกู้สูงกว่ามาก และมีอัตราดอกเบี้ยต่ำที่สุด เหมาะกับการผ่อนนาน 10-30 ปี
ระยะสั้น/เงินด่วน (เช่น เสริมสภาพคล่องฉุกเฉิน, ลงทุนในตลาดหุ้น/ระยะสั้น) พันธบัตรค้ำประกัน (Securities-Backed Loan) อนุมัติรวดเร็วที่สุด ไม่มีค่าธรรมเนียมจดจำนอง และไม่ทำให้บ้านติดภาระผูกพัน ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Risk Tolerance)
สิ่งที่ต้องการหลีกเลี่ยง ควรเลือกหลักประกันประเภทใด เหตุผล
— — —
ไม่อยากเสียบ้าน (มีความผูกพันทางใจกับบ้าน/บ้านเป็นมรดก) พันธบัตรค้ำประกัน ความเสี่ยงสูงสุดคือการสูญเสียสินทรัพย์ลงทุน ซึ่งสามารถซื้อคืนได้ใหม่ แต่บ้านเป็นสินทรัพย์ที่ทดแทนได้ยากกว่า
ไม่อยากถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (ไม่ต้องการให้เงินสดสำรองต้องถูกดึงมาเติมหลักประกัน) บ้านค้ำประกัน มูลค่าบ้านมีเสถียรภาพสูงกว่าราคาพันธบัตรในตลาด จึงไม่มีความเสี่ยงเรื่อง “Margin Call” ต้นทุนรวม (Overall Cost)
ปัจจัยด้านต้นทุน ควรเลือกหลักประกันประเภทใด เหตุผล
— — —
ต้องการดอกเบี้ยต่ำที่สุด บ้านค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ยจำนองมักต่ำที่สุด เพราะหลักประกันมีมูลค่าสูงและมั่นคง
ต้องการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียม/ภาษี พันธบัตรค้ำประกัน ไม่ต้องเสียค่าประเมินบ้าน ไม่เสียค่าจดจำนอง และไม่เกิดเหตุการณ์ “ขายทำกำไร” ซึ่งต้องเสียภาษี
สรุปคำแนะนำ- ถ้ามีทางเลือก: ควรใช้ พันธบัตรค้ำประกัน ก่อนเสมอ หากวงเงินที่ต้องการไม่สูงจนเกินไป เพราะมีความยืดหยุ่นสูงกว่า ไม่กระทบต่อที่อยู่อาศัย และมีต้นทุนการดำเนินการที่ต่ำกว่ามาก
- ใช้บ้านค้ำประกัน: เป็นทางเลือกสำหรับความต้องการเงินก้อนใหญ่ในระยะยาวเท่านั้น และต้องมั่นใจว่ามีความสามารถในการชำระหนี้คืนได้ตลอดอายุสัญญา เพราะความเสี่ยงสูงสุดคือการสูญเสียที่อยู่อาศัยค่ะ
ได้ครับ! การนำ หน่วยลงทุนในกองทุนรวม (Mutual Funds) ไปใช้เป็นหลักประกันเพื่อขอกู้เงินเป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริงในประเทศไทย และเป็นบริการสินเชื่อที่มีในหลายสถาบันการเงินขนาดใหญ่
สินเชื่อประเภทนี้มักเรียกว่า สินเชื่ออเนกประสงค์โดยมีกองทุนรวมเป็นหลักประกัน หรือ Securities-Backed Loan (โดยใช้หน่วยลงทุนแทนพันธบัตรหรือหุ้น)
เหตุผลที่ธนาคารรับกองทุนค้ำประกัน
- สภาพคล่องสูง: กองทุนรวมส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะกองทุนตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนรวมผสมที่มีนโยบายลงทุนชัดเจน) มีสภาพคล่องในการซื้อขายคืนค่อนข้างสูง ทำให้ธนาคารสามารถบังคับขาย (Liquidation) ได้ง่ายหากผู้กู้ผิดนัดชำระหนี้
- ความน่าเชื่อถือ: กองทุนรวมอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงาน ก.ล.ต. ทำให้มีความโปร่งใสและน่าเชื่อถือในการประเมินมูลค่า
- การรักษาสินทรัพย์: เป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเงินสด แต่ไม่ต้องการขายกองทุนรวมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางภาษี (ถ้ามี) หรือเพื่อรักษาโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนนั้นไว้
รายละเอียดสำคัญของการใช้กองทุนค้ำประกัน
| ประเด็น | รายละเอียดทั่วไป (อาจแตกต่างกันตามธนาคาร) |
|—|—|
| ประเภทกองทุนที่รับค้ำ | ส่วนใหญ่จะเน้นกองทุนที่มีความเสถียรและสภาพคล่องสูง เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund) และกองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund) ส่วนกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง (เช่น กองทุนหุ้น) อาจรับค้ำในสัดส่วนที่ต่ำกว่ามาก หรือไม่รับเลย |
| วงเงินกู้ (LTV) | มักจะอยู่ในช่วง 60% ถึง 90% ของมูลค่าหน่วยลงทุนสุทธิ (NAV) โดยวงเงินจะขึ้นอยู่กับประเภทและความเสี่ยงของกองทุนนั้น ๆ (กองทุนเสถียรได้วงเงินสูงกว่า) |
| ความเสี่ยงที่สำคัญ | Margin Call: หากมูลค่าหน่วยลงทุนของกองทุนลดลงต่ำกว่าระดับที่กำหนด (เนื่องจากตลาดผันผวน) ธนาคารจะเรียกให้ผู้กู้เติมเงินสด หรือเพิ่มหลักประกันกองทุนเข้ามาทันที มิเช่นนั้นอาจถูกบังคับขายหน่วยลงทุนบางส่วน |
| ต้นทุน | อัตราดอกเบี้ยมักจะต่ำกว่าสินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน และมักจะต่ำกว่าการกู้โดยมีหุ้นค้ำประกัน แต่สูงกว่าการจำนองบ้าน |
ดังนั้น หากคุณมีกองทุนรวมอยู่และต้องการสภาพคล่อง โดยไม่ต้องการขายกองทุนนั้นทิ้ง และต้องการหลีกเลี่ยงภาระผูกพันกับบ้าน การใช้กองทุนรวมค้ำประกันจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกทางการเงินที่มีประสิทธิภาพค่ะ
