คิดอยากออกจากการทำงานประจำ
คิดหาของขาย
ดูคนอื่นขายอะไร
กูขายบ้าง
เอาเงินเก็บมาลงทุน
หาโรงงานผลิต
ได้สินค้ามาสต๊อกที่บ้าน
เร่ขายคนใกล้ตัว
จับคนใกล้ตัวมารีวิว
เปิด Facebook Page, Instagram
โพสโปรโมชั่น วันละ 8 รอบ
โพสรูปแพ็คของ วันละ 8 รอบ
โพสสลิปการโอนเงิน วันละ 8 รอบ
โพสทุกอย่าง ยกเว้นประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับจากสินค้า

ผ่านไป 1 เดือน ตัน ตัน และตัน (ไม่อยากตันต้องอ่านวิธีนี้ คลิก http://marketingsusu.com/content-marketing/ )
ไม่รู้จะโพสอะไรดี หมาแมวละกัน ฮาดี
เค้าบอกโฆษณาแล้วจะมียอด เอาบ้าง
หมดไปเกือบหมื่น ยอดขาย 0 บาท
โทษเศรษฐกิจ เจ้าอื่นก็ขายไม่ดีเหมือนกันแหล่ะ
ผ่านไป 2 เดือน สินค้าในสต็อกยังอยู่ แต่โรงงานผลิตเรียกเก็บเงินแล้ว
ชิบหายยละ

แล้วคุณก็จะโทษทุกอย่าง ยกเว้น โทษตัวเอง

===============================
หลายคนเป็นแบบนี้ นี่ไม่ใช่ทางตัน นี่ไม่ใช่การหลงระหว่างทางใดๆทั้งสิ้น แต่มาผิดทางตั้งแต่แรกเลย เพราะขาดเป้าหมาย และการวางแผนต่างหาก
คุณผิดพลาดตรงไหน? เดี๋ยวจะมาต่อในโพสหน้า วันนี้มีเวลาเท่านี้ครับ

—————————————————————————————
สิ่งที่ต้องการสื่อคือ ถ้าทำงานแบบเดิม ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างจากเดิม ขายของก็เหมือนกัน ผมแค่แชร์ข้อมูลจากลูกค้าผม ผมนำมาแชร์ต่อ ว่าอย่าทำตามนะแบบนี้ เพราะมีคนทำหลายคนแล้วก็เจ๊งมาแล้ว ซึ่งผมก็เห็นว่าหลายคนยังทำแบบนี้อยู่เลยคิดว่าจะเป็นประโยชน์ครับ

ส่วนวิธีการทำ Content Marketing ตามลิ้งค์ หากบางท่านอ่านแล้วรู้สึกไม่ได้สาระอะไร ขออภัยด้วยนะครับ ขอบคุณทุกความเห็น แล้วผมจะนำไปปรับปรุงต่อไป

ต่อ
คุณผิดพลาดตรงไหน?

สาเหตุที่ ขายของออนไลน์ ล้านครั้ง ก็เจ๊ง ล้านครั้ง

ขายของตามกระแส

มองไม่ขาด ว่าสินค้าที่ขาย คือเทรนด์ ความจำเป็น หรือกระแสชั่วคราว
เทรนด์== มักจะมีระยะเวลานานพอที่จะทำกำไร ยกตัวอย่าง Gadget IT พวกพาวเวอร์แบงค์ เคสมือถือ
ความจำเป็น== อยู่ได้เรื่อยๆ แต่ต้องมีจุดแข็งๆจริงๆถึงจะขายได้ เสื้อผ้าแฟชั่น (แต่ก็ต้องมีจุดขายอีกนั่นแหล่ะ ถึงจะไปรอด)
กระแส== อันนี้แป๊บๆหาย ของในสต็อกเหลือบาน เจ๊งกันมาเยอะ ยกตัวอย่างตุ๊กตาเฟอร์บี้

เอาความสำเร็จของคนอื่นมาครอบตัวเอง คิดว่าจะเข้ากันได้

คิดว่าคนที่ประสบผลสำเร็จทำแบบนี้ แล้วเรานำมาทำบ้าง จะได้ผล จนประสบผลสำเร็จเหมือนกัน ส่วนใหญ่คนที่สำเร็จ (ผ่านการเจ๊งแล้วเจ๊งอีกมาหลายครั้งแล้ว)

ไฟแรง เทหมดหน้าตัก

อ่านตำรามา เข้าอบรมสัมมนามา ได้แรงบันดาลใจมา แต่ด่วนตัดสินใจไปนิด นำเงินเก็บทั้งหมดมาลงทุน โดยขาดการวางแผน และเงินทุนสำรอง ส่วนมากก็จะเจ๊ง

เพื่อน ญาติสนิท มิตรสหาย เขาคือลูกค้าคนนึง

ดีครับที่เรามีเพื่อนเยอะ ญาติ คนรู้จักเยอะ พอมีสินค้าก็ส่งให้พวกเขาช่วย ทดลอง ทดสอบสินค้าก่อนขายจริง หรือแม้แต่ช่วยรีวิวให้ จะด้วยรูป หรืออะไรก็แล้วแต่ ถือว่าเป็นต้นทุนที่ดีในการช่วยทำการตลาด แต่!!
ไม่ใช่จะยัดเยียดอะไรให้เขาก็ได้ เพราะในมุมผู้บริโภค สินค้าทุกอย่าง ถ้าใช้แล้วชีวิตไม่ได้ดีขึ้น ไม่สะดวก ไม่สวย ไม่ขาวใส ไม่ตอบโจทย์ เขาก็ไม่อยากใช้ต่อ แต่เจ้าของร้านตั้งความหวังไว้กับคนใกล้ตัวมากเกินไป

ผิดตั้งแต่ชื่อร้าน

พ่อค้าแม่ค้ารายใหม่ชอบนำ Keywords หรือตัวสินค้ามาตั้งเป็นชื่อเพจ ไอจี เช่น สบู่ขมิ้นชัน ผิวขาวใสไม่ระคายเคือง ใช่ครับมันดูแล้วเข้าใจว่าขายอะไร
มันควรจะสร้างแบรนด์ตัวเองให้แตกต่างและโดดเด่นขึ้นมาสักหน่อย อย่างน้อยๆก็ควรให้ชื่อมันไม่ซ้ำกับ 300 ร้านที่ขายสบู่ขมิ้นชันที่มีอยู่ก่อนด้วย ถ้าจะพูดถึงการสร้างแบรนด์ก่อนขายของนะ พูดกันเป็นวันก็ไม่จบ เอาง่ายๆก่อน ชื่อร้านจำง่าย หาง่าย เป็นของเราผู้เดียว แนะนำให้จดโดเมน แล้วรีไดเรคมาหน้าเพจหรือไอจี (ถ้ายังไม่ทำเว็บไซต์ เพราะชื่อโดเมนต์มันไม่ซ้ำกันอยู่แล้ว เช่น www.สบู่ขมิ้นชัน.com แล้วนำชือ สบู่ขมิ้นชัน.com มาสร้างเพจ แค่นี้ก็แตกต่างดูน่าเชื่อถือกว่าเดิมแล้วครับ

ผิดตั้งแต่เลือกช่องทางการขาย
พูดถึงช่องทางทุกคนก็จะนึกถึง Facebook ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะใกล้ตัวดี ได้ยินคนพูดเยอะ ว่าทำง่าย สร้างเพจไม่ยาก มันควรเลือกสื่อที่มันตรงจริตกับสินค้าที่จะขายด้วย
เสื้อผ้าผมมองว่าควรจะเป็น Instagram เพราะจริตของมันคือการถ่ายภาพสวยๆ ด้วยโทนทีต่างๆ ถ่ายภาพจริงลงขายได้ยิ่งจะสื่ออารมณ์ได้ดี
อาหารสุขภาพ อาหารคลีน แนะนำเป็น Facebook สะดวก เร็ว ทำเป็นซีรี่ต่อเนื่อง ได้ทั้งคลิปและภาพ
อุปกรณ์เสริม สินค้าแก็ตเจตไอที ควรเป็นเว็บไซต์ เพราะรายละเอียดเยอะ
จริงๆแล้ว ถ้าใช้ร่วมกันได้ก็จะดีกว่า อย่างเว็บไซต์ + facebook ก็จะคล่องตัวเรื่องโปรโมท เพราะหลายคนสะดวกทำโฆษณาบูทโพส และยังทำ Google Adwords อาจจะยังไม่คล่องหรือยังไม่ถนัด
ร้านเล็กแต่ช่องทางการขายเยอะ ก็เพิ่มยอดได้ แต่แนะนำว่าอย่าทำทุกสื่อถ้าไม่มีคนดูแลจริงจัง เพราะเดี๋ยวจะไม่ดีสักสื่อ

สักแต่จะขาย แต่ไม่รู้ประโยชน์
เปิดเพจมากก็ขายก่อนเลย แบบนี้เยอะ โพสโปรฯวันละ 8 ตลบ จะมีสักกี่คนที่ซื้อของทั้งที่ที่ยังไม่รู้จัก ยังไม่รู้ข้อมูลสินค้ากันดีพอ
เปลี่ยนการโพสมาเป็นการเล่าว่าสินค้าเราดียังไง ทำไมต้องซื้อของๆเรา วิธีใช้ยังไง ใช้แล้วชีวิตลูกค้าจะดีขึ้นยังไงบ้าง ดีกว่า ถ้าขายสบู่ การนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจควรเป็นประมาณว่า  3 สูตรเด็ด วิธีใช้ขมิ้นขัดผิว
ก่อนจะขายของได้ คุณรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่คุณขายดีพอหรือยัง ขมิ้นช่วยเรื่องอะไร ขมิ้นมีกี่ชนิด ชนิดไหนเหมาะกับการขัดผิว เอามาทำสบู่ บางคนยังไม่รู้เลย แล้วจะเอาความเป็นผู้เชี่ยวชาญตรงไหนไปเล่าให้ลูกค้าเชื่อ

ขาดอารมณ์ร่วมกับการขายสุดๆ
เพราะตั้งใจมาขาย เลยไม่รู้จะคุย สื่อสารกับลูกค้ายังไง มันเลยขาดอารมณ์ร่วมสุดๆ สินค้าบนโลกตอบโจทย์ลูกค้าอยู่ 2 แบบ คือซื้อเพราะฟังก์ชั่น กับซื้อเพราะอีโมชั่น
ฟังก์ชั่น เพราะจำเป็น เพราะคุณสมบัติตอบโจทย์ ร้านอื่นก็จะ
อีโมชั่น ซื้อเพราะเซล์บอกว่า ขมิ้นคือตัวที่จะช่วยให้ผิวของคนผิวเหลือง ค่อยๆขาวขึ้น ถ้าลูกค้าท่านอื่นที่ผิวคล้ำอาจจะใช้เวลานานหน่อย แต่พี่ผิวเหลืองจะขาวเร็วกว่าค่ะ เดินในกลุ่มเพื่อนพี่จะดูดีเปล่งประกายสุดแล้ว อีโมชั่นนะอีโมชั่น

ขาย ก-ฮ
Signature Product ของร้านเราคืออะไร ไม่ใช่ขายทุกอย่าง เสื้อผ้าก็เอาทุกอย่างเลย เสื้อผ้าแฟชั่น เสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้าคนอ้วน มีหมด มันจะกลายเป็นไม่มีจุดขายเอาง่ายๆ

สนใจแต่วิธีการ เทคนิคการทำตลาด แต่เรื่องเบสิกอย่างคุณภาพสินค้า ดันลืมซะนี่

อันนี้คงไม่ต้องอธิบายเยอะ สินค้ามีคุณภาพ บางทีไม่ต้องทำตลาดแบบเป็นบ้าเป็นหลังก็ได้นะ

จัดโปรฯหลอกๆ เลยโดนลูกค้าหลอก(ว่าจะซื้อ) แล้วก็หายไป

ก็ไปหลอกเขาก่อนนี่ ว่าลดเท่านั้นเท่านี้ โอนก่อนวันนี้นะคะ วันรุ่งขึ้นก็ยังเจอโปรนี้อยู่ ยังไม่รวมการตั้งราคาเวอร์ๆแล้วลดเยอะๆนะครับ
ใครรู้สึกดีกับการโดนหลอก ถึงจะแค่ข้อความเราก็รู้สึกไม่ดีถ้าโดนหลอก ลูกค้าบอก บ๊าย
จริงใจ ตรงไปตรงมาสิครับที่จะได้ใจลูกค้า

ได้แต่ลูกค้าขาจร ขาประจำไม่มี
เพราะสินค้ามันไม่ดีไงครับ แต่การตลาดอุ้มยอดขายมาโดยตลอด คุณต้องยัดค่าโฆษณามากขึ้นทุกเดือน เหนื่อยคุยกับลูกค้าคนเดียวทั้งวัน พูดอยู่ฝ่ายเดียว เพื่อจะใช้เขาซื้อสบู่เพียงก้อนเดียว นั่นทำให้เห็นว่าสินค้าคุณไม่ดีพอที่ลูกค้าจะบอกต่อ เลยต้องเหนื่อยอยู่ทุกเดือนๆ

โฆษณาเป็นแสน แขนก็ไม่ได้จับ ถ้ายังไปไม่ถูกกลุ่มเป้าหมาย
เปิดเพจใหม่เข้าใจครับว่าพี่มาร์คแห่ง facebook เขาจะงงๆนิดหน่อยว่าเราขายอะไร ทำให้ค่าโฆษณาต้องใช้เงินเยอะกว่าปกติ แรกๆต้องทุ่มหน่อย ถ้าจะเอายอดหลักหมื่นก็ต้องทุ่มหลักพัน ถ้าจะเอายอดหลักล้าน ก็ต้องทุ่มหลักแสน แต่!!

คุณโฆษณาไปถูกกลุ่มจริงๆหรอ แนะนำให้ไปทำความรู้จักกับ Relevacee Score ของ Facebook มันคือคะแนนความสัมพันธ์ของโฆษณากับกลุ่มเป้าหมาย ถ้าไปตรงกลุ่ม คะแนนจะได้เยอะ 7-10 แต่ถ้าต่ำกว่านี้ก็ ship หายละ เลือกกลุ่มเป้าหมายใหม่ได้เลย แต่!!
อย่าเชื่อมันร้อยเปอร์เซนต์ครับ ดูที่การโทร ทักแชทเข้ามาสอบถามด้วย

cr. http://www.thaiseoboard.com/index.php/topic,381487.0.html