• March 21, 2024

    “การจำกัดเวลากิน 8 ชั่วโมงมีความเสี่ยงที่จะตายจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 91%”

    งานวิจัยที่ว่ามีชื่อเต็มว่า ‘ความสัมพันธ์ระหว่างการจำกัดเวลาบริโภคอาหาร 8 ชั่วโมงกับอัตราตายจากทุกสาเหตุและอัตราตายเฉพาะโรค’ (Association of 8-Hour Time-Restricted Eating with All-Cause and Cause-Specific Mortality) ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เจียวทง ซึ่งนักวิจัยเผยแพร่ผลการศึกษาในงานประชุมวิชาการของสมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา (AHA) ระหว่างวันที่ 18-21 มีนาคม 2567

    AHA นำงานวิจัยนี้มาเผยแพร่ต่อผ่านเว็บไซต์ โดยบรรณาธิการระบุหมายเหตุว่า “เป็นผลการศึกษาเบื้องต้น จนกว่าจะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารที่มีกระบวนการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ”

    ผลการวิจัยมีประเด็นสำคัญตามที่ AHA สรุปทั้งหมด 5 ข้อ
    ◾การจำกัดเวลากินน้อยกว่า 8 ชั่วโมงต่อวันมีความเสี่ยงที่จะตายจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 91%
    ◾ความเสี่ยงที่จะตายจากโรคหัวใจที่เพิ่มขึ้น (จากการกิน 8 ชั่วโมง) ยังพบในผู้ป่วยโรคหัวใจหรือมะเร็ง
    ◾ในผู้ป่วยโรคหัวใจ การกิน 8-10 ชั่วโมงยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะตายจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น 66%
    ◾การจำกัดเวลากินไม่ลดความเสี่ยงการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ
    ◾การกินมากกว่า 16 ชั่วโมงต่อวันสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่จะตายจากมะเร็งที่ลดลงในผู้ป่วยโรคมะเร็ง

    แสดงว่าการทำ IF ที่เข้มข้นกว่าสูตร 16/8 (ช่วงกินน้อยกว่า 8 ชั่วโมง) มีความเสี่ยงที่จะตายจากโรคหัวใจเพิ่มขึ้น ทั้งในคนทั่วไปและผู้ป่วยโรคหัวใจหรือมะเร็ง โดยคำว่า ‘เพิ่มขึ้น’ เป็นการเปรียบเทียบกับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่จำกัดเวลากิน (ช่วงกินอาหาร 12-16 ชั่วโมง)

    เมื่อเข้าไปอ่านตารางผลการศึกษาการตายจากโรคหัวใจในกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด พบว่าการกินน้อยกว่า 8 ชั่วโมงมีความเสี่ยง (Hazard Ratio: HR) เท่ากับ 1.91 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% 1.20-3.03) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P-Value = 0.006) ซึ่งแปลว่ามีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 91%

    ส่วนการกิน 8-10 ชั่วโมงมี HR เท่ากับ 1.25 (ช่วงความเชื่อมั่น 95% 0.92-1.71) ไม่ถือว่ามีนัยสำคัญทางสถิติ แสดงว่าในคนทั่วไปการทำ IF สูตร 16/8 (ช่วงกิน 8-10 ชั่วโมง) ไม่มีความเสี่ยงที่จะตายจากโรคหัวใจ

    นักวิจัยศึกษาอย่างไร?
    แต่การจะนำผลการวิจัยนี้ไปใช้จะต้องประเมินความน่าเชื่อถือก่อน ซึ่งต้องอ่านถึง ‘วิธีการวิจัย’ และถ้ารูปแบบการวิจัยน่าเชื่อถือจะต้องพิจารณาว่า ‘กลุ่มตัวอย่าง’ ในงานวิจัยนั้นๆ ตรงกับเราหรือไม่ด้วย

    AHA สรุปวิธีการวิจัยนี้ไว้ 4 ประเด็น ดังนี้
    การวิจัยนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 20,000 คน อายุเฉลี่ย 49 ปี
    กลุ่มตัวอย่างได้รับการติดตาม ค่ามัธยฐานเวลา 8 ปี และนานที่สุด 17 ปี
    ข้อมูลได้จากการสำรวจสุขภาพและโภชนาการระดับชาติ (NHANES) กลุ่มตัวอย่างอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป ระหว่างปี 2546-2561 และตอบแบบสอบถามการบริโภคอาหารย้อนหลัง 24 ชั่วโมง (24-Hour Dietary Recall) จำนวน 2 ครั้ง ภายในปีแรกของการเข้าร่วมโครงการ
    กลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชายและหญิงอย่างละครึ่ง เชื้อชาติแบ่งเป็นชาวผิวขาวที่ไม่ได้มีเชื้อสายละติน (Non-Hispanic White) 73.3% เชื้อสายละติน 11% ชาวผิวดำไม่ได้มีเชื้อสายละติน (Non-Hispanic Black) 8% และอื่นๆ 6.9%

    แสดงว่างานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงสังเกต (Observational Study) คือผู้วิจัยเก็บข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างแล้วติดตามว่ากลุ่มตัวอย่างตายจากโรคหัวใจ มะเร็ง หรือสาเหตุอื่นหรือไม่ แต่ยังมีน้ำหนัก ‘น้อยกว่า’ การวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Study) คือผู้วิจัยจะต้องแบ่งกลุ่มตัวอย่างทดลองทำ IF และไม่ทำ IF เปรียบเทียบกัน เหมือนกับการทดลองวัคซีนโควิด-19 เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับวัคซีน

    จุดแข็งของงานวิจัยนี้คือจำนวนกลุ่มตัวอย่างหลักหมื่นคน แต่มีจุดอ่อนที่สำคัญคือข้อมูลการกินเป็นแบบสอบถามแบบให้ตอบด้วยตนเองย้อนหลัง ซึ่งอาจมีความผิดพลาดจากความจำของผู้ให้ข้อมูล และความสม่ำเสมอของการกินในรูปแบบนั้นๆ เพราะเป็นการตอบแบบสอบถามเพียง 2 ครั้ง

    ดังนั้นจึงยังสรุปไม่ได้ชัดเจนว่าการทำ IF เพิ่มความเสี่ยงของโรคหัวใจหรือไม่

    อ้างอิง:

    https://newsroom.heart.org/news/8-hour-time-restricted-eating-linked-to-a-91-higher-risk-of-cardiovascular-death

    หลายปีที่ผ่านมามีเทรนการทำ if หรือ intermittent fasting หรือการอดอาหารซึ่งมีหลายสูตร หลักการก็คือเมื่อเราอดอาหารยาวนานพอจะทำให้ร่างกายขาดพลังงานซึ่งปกติจะได้รับจากแป้งหรือข้าวที่เรากินแล้วแปลงไปเป็นน้ำตาลหรืออาจเรียกว่าพลังงานกลูโคสและเมื่อเราไม่ได้กินแป้งเข้าไปร่างกายจะหันไปใช้พลังงานที่สะสมอยู่ในร่างกายแทนซึ่งลำดับถัดไปก็คือไกลโคเจนที่สะสมอยู่ในกล้ามเนื้อและเมื่อถูกใช้ไปจนหมดก็จะหันไปใช้พลังงานจากไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายและร่างกายจะแปลงไขมันที่สะสมนี้ให้กลายเป็นกลูโคสเพื่อใช้งานต่อไป

    เราจะเห็นได้ว่าการทำ if นั้นเป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนระบบการเผาผลาญอาหารเพื่อให้ได้พลังงานมาใช้ จากที่พลังงานหลักจากแป้งไปเป็นไขมันแน่นอนว่ามีผลกระทบต่อร่างกายเนื่องจากกว่าที่ไขมันจะสะสมในร่างกายก็ต้องผ่านระยะเวลาและกระบวนการแล้วเราจะไปใช้ไขมันก็ต้องแปลงมาอีกหลายขั้นตอนซึ่งน่าจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมกว่าปกติได้หรือไม่?

    สิ่งที่น่าสังเกตคือคนที่ทำ if นั้นส่วนมากจะมุ่งเน้นไปที่การลดความอ้วนก็คือการดึงไขมันออกมาจากร่างกายดังนั้น ถ้าคุณเป็นคนที่ผอมอยู่แล้วแล้วยังไปทำ if อีก ก็อาจเป็นหนทางที่แตกต่างหรือไม่

    และร่างกายคนเราก็มีความแตกต่างกันบางคนมีอัตราการเผาผลาญสูงบางคนผอมบางคนไม่ได้อ้วน การควบคุมอาหารกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและกินในปริมาณที่พอเหมาะก็น่าจะเพียงพอ

    ยังไงก็ตามเราก็ยังมีความรู้เรื่องของ autophagy คือภาวะที่ร่างกายเรากินเซลล์เสียๆของตัวเองเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานแน่นอนว่าภาวะนี้ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพแต่ถ้าเราทำ If ยังไม่เหมาะสมกับสภาพของตัวเราอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดีเนื่องจากอาจจะขาดสารอาหารและร่างกายทรุดโทรมจากการแปลงพลังงานไปมาก็เป็นได้



เวอไนน์ไอคอร์ส

ประหยัดเวลากว่า 100 เท่า!






เวอไนน์เว็บไซต์⚡️
สร้างเว็บไซต์ ดูแลเว็บไซต์

Categories


Uncategorized