การทำงานของ Google Bot
ก่อนหน้านั้น
ถ้าเว็บไซต์ใดมีความถี่ในการ update content (อัพเดทเนื้อหา) ในเว็บบ่อย สม่ำเสมอ bot ก็ยิ่งเข้ามาบ่อย
โดยทั่วไป Googlebot จะมีสองตัว ตัวแรกหรือตัวหลักมีหน้าที่ในการนำทางสำรวจไปยังหน้าเว็บเพจต่างๆวิ่งไปตาม ลิงค์เก็บ indexes เว็บนั้นๆ
เพื่อเป็นข้อมูลให้ Bot ตัวที่สอง ทำหน้าที่ย้อนกลับไปเก็บข้อมูลต่างๆในหน้าเว็บเพจนั้นๆอีก ครั้งอย่างอย่างละเอียด รวมถึงตรวจสอบการอัพเดท ปรัปปรุงเนื้อหาใหม่ๆของเว็บ
ความถี่ในการอัพเดทต่างๆ เพื่อที่คำนวนว่าควรจะเข้ามาตรวจบ่อยแค่ไหน
ต่อมาด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเเละพัฒนามาเรื่อย
ส่วนแรก
Google จะใช้ Bot ที่Googleเรียกว่า Deep bot คือจะวิ่งไต่ไปตามลิ้งค์ต่างๆที่มีการ Submitไว้ คือเอามาเก็บไว้ก่อนเพื่อนำข้อมูลมาทำการประเมินผล เพื่อจัดอันดับตามคียฺเวิร์ด ดูว่าเนื้อหาไหนซ้ำกัน เว็บไหนเป็นเว็บจริง เว็บไหนเป็นขยะ ตรงนี้ดูไม่ยากครับ ดูอายุโดเมน ดูวันเวลา Post หรือวันเวลาของเนื้อหาที่เคยได้รับการอินเด็กซ์แรกสุดในฐานข้อมูลของGoogle ขบวนการนี้ใช้เวลาในการทำงานประมาณ 1-2เดือน หรืออาจมากกว่านี้
ส่วนที่สอง
Googleเรียกว่า Fresh bot ตัวนี้Googleใช้วิ่งไปยังเว็บที่ผ่านการประเมินผลจากขั้นตอนแรกว่ามีการอัพ เดรพเนื้อหาเป็นระยะ (วันเวลาการ Post แต่ละครั้ง) แค่นี้Googleก็รู้แล้วว่า เว็บไหนมีการ update content บ่อย (แต่ไม่ถี่จนเข้าขั้นสแปม) Googleก็จะส่ง Bot เข้าเก็บข้อมูลเป็นระยะๆ
เท่าที่สังเกตุการทำงานของ Google Robot
Google มักจะส่ง Fresh bot เข้าไปเก็บที่เว็บที่มีกิจกรรม เช่น มีการ Post การ Comment จากผู้ชมไอพีต่างๆกัน มากกว่าเว็บที่เป็นเนื้อหาเพียวๆ
ทดสอบจากการใช้ SMF กับ WordPress เห็นได้ชัดว่า
SMF นั้น Googleส่ง Fresh bot มาเป็นระยะ แม้ว่าข้อมูลที่ SMF เป็นพวกสแปมเข้ามา ไม่มีเนื้อหาสาระเลยก็ตาม
Wordpress นั้น แม้จะใส่ข้อมูลเนื้อหาอัดเเน่นไปด้วยความรู้ ก็ยังมีบอทเข้ามาเก็บข้อมูลไม่บ่อยเท่า SMF
ทั้งสองกรณี อันดับจากการตรวจสอบ จาก alexa , SMF อันดับขึ้นไวกว่ามาก
ฉะนั้นการ Post บทความ การสร้าง Backlinks ก็ต้องทำให้ดูเป็นธรรมชาติ อย่าถี่จนเป็นสแปม
ยิ่งทำอะไรที่ไร้รูปแบบ หรือไม่เป็นแพทเทิร์น Google จะจับยากขึ้นนิดหนึ่ง และโอกาสรอดสูงขึ้น
ดังนั้นการเขียนโปรแกรม auto post หากใช้ลักษณะการสุ่ม เวลาในการโพสท์ก็จะดีมาก