การต่อสาย L และ N ของปลั๊กไฟสลับกัน **มีผลเสีย** ดังนี้
**1. อุปกรณ์ไฟฟ้าอาจทำงานผิดพลาดหรือเสียหาย**
อุปกรณ์ไฟฟ้าบางชนิด เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมอเตอร์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน อาจทำงานผิดพลาดหรือเสียหายได้หากต่อสาย L และ N สลับกัน กรณีนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบวงจรของอุปกรณ์
**2. เกิดไฟรั่ว**
หากมีไฟรั่วจากอุปกรณ์ไฟฟ้า ผู้ใช้ไฟฟ้าอาจโดนไฟดูดได้ กรณีนี้เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต
**3. เกิดประกายไฟ**
หากมีการต่อสายไฟผิดพลาด อาจเกิดประกายไฟที่ปลั๊กไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งอาจนำไปสู่ความร้อนสูงและอาจเกิดไฟไหม้ได้
**4. อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าอาจทำงานผิดพลาด**
อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้า เช่น เซอร์กิตเบรกเกอร์ หรืออุปกรณ์กันไฟดูด อาจทำงานผิดพลาดหรือไม่ทำงานเลยหากต่อสาย L และ N สลับกัน
**สรุป**
การต่อสาย L และ N ของปลั๊กไฟสลับกัน **เป็นอันตราย** และอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ควรต่อสายไฟให้ถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัยเสมอ
**ข้อแนะนำ**
* ควรให้ช่างไฟฟ้าที่มีใบอนุญาตเป็นผู้ต่อสายไฟ
▫️▫️▫️
แม้เครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบันสามารถใช้กระแสสลับได้ (AC) โดยไม่คำนึงถึงลำดับของสาย L และ N
**แต่** ยังมีเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทที่อาจทำงานผิดพลาดหรือเสียหายได้หากต่อสาย L และ N สลับกัน เช่น
* เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมอเตอร์ เช่น พัดลม เครื่องซักผ้า ตู้เย็น
* เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ซับซ้อน เช่น คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ เครื่องเสียง
**นอกจากนี้** การต่อสาย L และ N สลับกัน ยังมีความเสี่ยงดังนี้
* **ไฟรั่ว:** ผู้ใช้ไฟฟ้าอาจโดนไฟดูดได้ กรณีนี้เป็นอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต
* **ประกายไฟ:** อาจเกิดประกายไฟที่ปลั๊กไฟหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า ซึ่งอาจนำไปสู่ความร้อนสูงและอาจเกิดไฟไหม้ได้
* **อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าทำงานผิดพลาด:** อุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้า เช่น เซอร์กิตเบรกเกอร์ หรืออุปกรณ์กันไฟดูด อาจทำงานผิดพลาดหรือไม่ทำงานเลย
**ดังนั้น** แม้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่จะสามารถใช้กระแสสลับได้ แต่เพื่อความปลอดภัย **ควรต่อสาย L และ N ของปลั๊กไฟให้ถูกต้อง**
**สำหรับสายกราวด์** เป็นสายที่มีหน้าที่ป้องกันไฟรั่ว โดยต่อลงดิน สายกราวด์จะมีสีเหลือง-เขียว ควรต่อสายกราวด์ให้ถูกต้องเสมอ
**สรุป**
* การต่อสาย L และ N สลับกัน อาจทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภททำงานผิดพลาดหรือเสียหาย
* การต่อสาย L และ N สลับกัน มีความเสี่ยงต่อไฟรั่ว ประกายไฟ และอุปกรณ์ป้องกันไฟฟ้าทำงานผิดพลาด
* ควรต่อสาย L และ N ของปลั๊กไฟให้ถูกต้อง
* ควรต่อสายกราวด์ให้ถูกต้องเสมอ
▫️▫️▫️
การต่อสาย N และ L สลับกัน **แม้จะมีสายกราวด์** ยังมีความเสี่ยงต่อไฟดูดได้ กรณีนี้เกิดขึ้นได้ดังนี้
**1. อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีไฟรั่ว**
หากอุปกรณ์ไฟฟ้ามีไฟรั่ว กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านสายกราวด์ลงดิน แต่หากสาย N และ L สลับกัน กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวผู้ใช้ไฟฟ้าที่สัมผัสอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีไฟรั่ว เกิดไฟดูดได้
**2. สายกราวด์ต่อไม่ถูกต้อง**
หากสายกราวด์ต่อไม่ถูกต้อง เช่น ต่อสายกราวด์กับท่อน้ำประปาที่มีสนิม กรณีนี้กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านท่อน้ำประปา ผู้ใช้ไฟฟ้าที่สัมผัสท่อน้ำประปาอาจโดนไฟดูดได้
**3. สายกราวด์มีขนาดไม่เพียงพอ**
หากสายกราวด์มีขนาดไม่เพียงพอ อาจไม่สามารถรองรับกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านได้ กรณีนี้กระแสไฟฟ้าจะไหลผ่านตัวผู้ใช้ไฟฟ้าที่สัมผัสอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีไฟรั่ว เกิดไฟดูดได้
**ดังนั้น** แม้จะมีสายกราวด์ การต่อสาย N และ L สลับกัน ยังมีความเสี่ยงต่อไฟดูดได้ ควรต่อสายไฟให้ถูกต้องตามมาตรฐานความปลอดภัยเสมอ
▫️▫️▫️
**กรณีต่อสาย L กับ N สลับกัน เมื่อเอาไขควงวัดไฟวัดสายกราวด์ จะมีไฟหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ** ดังนี้
**1. ระบบไฟฟ้า**
* **ระบบไฟฟ้า TN-S:** กรณีนี้จะมีไฟแสดงที่ไขควงวัดไฟ เพราะสายกราวด์แยกจากสาย N
* **ระบบไฟฟ้า TN-C:** กรณีนี้ **อาจจะ** มีไฟแสดงที่ไขควงวัดไฟ เพราะสาย N ทำหน้าที่เป็นสายกราวด์ด้วย
* **ระบบไฟฟ้า TT:** กรณีนี้ **จะไม่มี** ไฟแสดงที่ไขควงวัดไฟ เพราะสายกราวด์ต่อลงดินโดยตรง
**2. อุปกรณ์ไฟฟ้า**
* **อุปกรณ์ไฟฟ้า Class I:** กรณีนี้จะมีไฟแสดงที่ไขควงวัดไฟ เพราะมีการต่อสายดินกับตัวเครื่อง
* **อุปกรณ์ไฟฟ้า Class II:** กรณีนี้ **จะไม่มี** ไฟแสดงที่ไขควงวัดไฟ เพราะไม่มีการต่อสายดินกับตัวเครื่อง
**3. สภาพของสายไฟ**
* **สายไฟมีฉนวนหุ้มสมบูรณ์:** กรณีนี้ **จะไม่มี** ไฟแสดงที่ไขควงวัดไฟ
* **สายไฟมีฉนวนหุ้มชำรุด:** กรณีนี้ **อาจจะ** มีไฟแสดงที่ไขควงวัดไฟ
**4. สภาพของไขควงวัดไฟ**
* **ไขควงวัดไฟอยู่ในสภาพดี:** กรณีนี้จะแสดงผลได้ถูกต้อง
* **ไขควงวัดไฟอยู่ในสภาพชำรุด:** กรณีนี้ **อาจจะ** แสดงผลไม่ถูกต้อง
**ดังนั้น** ไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า เมื่อต่อสาย L กับ N สลับกันแล้ว วัดสายกราวด์จะมีไฟหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังที่กล่าวมา